บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดแฟชั่น เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 เป็นวันแรก ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปและสถาบันอย่างดีเยี่ยม โดยเปิดซื้อขายที่ 9.35 บาท เพิ่มขึ้น 2.15บาท หรือ 29.86 % เปรียบเทียบจากราคาไอพีโอที่ 7.20 บาท/หุ้น
นายชวลิต ติยาเดชาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "เวิลด์เฟล็กซ์ " ระบุว่าราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯในฐานะผู้นำผู้ผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดรายใหญ่ในโลก รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมสิ่งทอของโลกที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
"ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้การต้อนรับ WFX อย่างอบอุ่น ทีมงานและผู้บริหารของบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเตรียมนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเส้นด้ายยางยืดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 12,400 ตัน/ปี แบ่งเป็นเฟส 1 กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 6,200 ตัน/ปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนกรกฎาคม 2565 และเฟส 2 กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 6,200 ตัน/ปี คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2566"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WFX กล่าวว่า มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้าของบริษัทฯจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง ตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมสิ่งทอในตลาดโลก โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่ง MARKETLINE คาดการณ์มูลค่าตลาดสิ่งทอในประเทศจีนสำหรับปี 2563-2568 ฟื้นตัวและมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 8.70% ต่อปี ซึ่งตลาดจีนคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75% ของบริษัทฯ ทั้งนี้ จากแผนเพิ่มกำลังการผลิต 12,400 ตัน/ปี หรือเพิ่มขึ้น 35% จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 35,000 ตัน/ปี จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการขยายตลาดใหม่ๆในต่างประเทศ เพิ่มศักยภาพในการเติบโตให้กับ บริษัทฯ จากการขยายกำลังการผลิต และจากจุดแข็งที่เหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงวัตถุดิบ เพราะโรงงานผลิตของบริษัทฯอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไทยเป็นผู้ผลิตยางขึ้นอันดับ 1 ของโลก ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเส้นด้ายยางยืด และการที่มีบริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TRUBB) ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยางข้นในไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ ช่วยให้เข้าถึงวัตถุดิบที่มีคุณภาพในปริมาณที่ต้องการ
นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตที่ลดลงจาก จาก Economies of Scale และการบริหารงานภายใต้กลยุทธ์ (Growth Strategy) ในการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ทั่วโลก ทำให้มั่นใจว่า WFX พร้อมก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งผู้ผลิตเส้นด้ายยางยืดระดับโลกภายใน 3 ปี ตามแผนงานที่วางไว้
"ในช่วงที่ผ่านมา WFX ได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป เช่น ประเทศเยอรมนี อิตาลีโปแลนด์ เป็นต้น และทวีปอเมริกาใต้ เช่น บราซิล โคลอมเบีย อาร์เจนตินา เพื่อเพิ่มแหล่งที่มาของรายได้และกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากเราให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพของสินค้า ส่งมอบสินค้าตรงเวลา และมีบริการที่น่าประทับใจ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด "A Manufacturer of High Quality Natural Rubber Thread" ส่งผลให้ยอดขายและรายได้ในช่วงที่ผ่านมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม ฝ่ายวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ของบริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (WFX) กล่าวว่า การเข้าเทรดในวันแรกของ WFX ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.12 เท่า และหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯจะลดลงเหลือประมาณ 0.35 เท่า
โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายไอพีโอในครั้งนี้ ส่วนใหญ่บริษัทฯนำไปใช้สำหรับการขยายโรงงาน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต รองรับคำสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับการเติบโตในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า เพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไร สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
"เชื่อว่า WFX จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ที่มีอัตราการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ จากความสามารถทำกำไรที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด"
ทั้งนี้ เห็นได้จากผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีการเติบโตที่โดดเด่นมาก โดยมีรายได้รวม 2,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 874 ล้านบาท หรือ 51% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,715 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท หรือ 218% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 15.96% และกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 7.27%
ที่มา: เวิลด์เฟล็กซ์