ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เผยวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐรายงานยอดค้าปลีกประจำเดือน ธ.ค. ที่ -1.9%MoM ต่ำกว่าตลาดคาดว่าจะทรงตัว ซึ่งน่าจะทำให้ตลาดผ่อนคลายกับประเด็นเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามกลับพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 2 และ 10 ปี ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องพร้อมกับแนวโน้มดอกเบี้ยที่ Bloomberg Consensus ยังให้โอกาสสูงราว 96% ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. ทั้งนี้แม้เรื่องของดอกเบี้ยจะเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนแต่ก็เชื่อว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3-4 ครั้งในปีนี้ไปพอสมควรแล้ว ด้านในประเทศสัปดาห์นี้จะเริ่มเข้าสู่การประกาศผลประกอบการ 4Q21 คาดกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดจะรายงานในสัปดาห์นี้ (เพิ่มเติม KTC) ซึ่งในสัปดาห์ก่อน TISCO รายงานกำไรสุทธิดีกว่าตลาดคาด 8% ใส้ในได้แรงหนุนจาก (1) ค่าธรรมเนียมที่ขยายตัวโดยเฉพาะจากธุรกิจนายหน้าประกันภาย (2) สำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง 48%YoY ดังนั้นแนวโน้มกำไรกลุ่มธนาคารที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ก็น่าจะสดใสคล้ายกับ TISCO โดยเราประเมินกำไรกลุ่ม Bank 4Q21 ภายใต้ที่ Coverage (BBL KBANK SCB TTB) 2.4 หมื่นล้านบาท (+12%YoY -9%QoQ) สาเหตุของการลดลง QoQ เป็นผลจาก ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามฤดูกาลแต่ขณะเดียวกันผลประกอบการ 4Q21 จะเป็นจุดต่ำสุดหนุนจากสินเชื่อที่จะเติบโตจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมที่จะดีขึ้น และค่าใช้จ่ายสำรองที่จะลดลงหลังจากได้ตั้งสูงไปก่อนหน้านี้ Top pick ได้แก่ BBL KBANK ส่วนปัจจัยอื่นๆในสัปดาห์นี้ได้แก่ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศประจำเดือน ธ.ค. ในวันศุกร์ Bloomberg คาดมูลค่าส่งออกและนำเข้าขยายตัว +16%YoY +20%YoY หากออกมาสูงกว่าคาดก็น่าจะทำให้บรรยากาศการลงทุนเป็นบวกมากยิ่งขึ้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะกลางสะสมได้เช่นเดิมแต่เน้นหุ้นที่ Laggard อาทิ (BEM BJC CPALL M MAJOR MINT SHR) ส่วนระยะสั้นเน้นหุ้นโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน (PTTEP) โรงกลั่น (BCP SPRC TOP) รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันยืนระดับสูงและค่าการกลั่นที่อยู่ระดับสูงเช่นกัน ประเมินกรอบ SET INDEX ทั้งสัปดาห์ 1660 - 1690
TOP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 67 บาท) คาดกำไรปกติจะโตต่อเนื่องในปี 2022 หลังฟื้นตัวขึ้นมาจากผลขาดทุนในปี 2020 และมีผลประกอบการแข็งแกร่งในปี 2021 หนุนจาก 1) ค่าการกลั่นที่ดีขึ้น 2) ผลประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีที่มั่นคง และ 3) การรับรู้รายได้จากโครงการ CAP
DIF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 16.5 บาท) เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ "ซื้อ" กองทุนฯ จะได้รับรายได้ที่มั่นคงจากกลุ่ม TRUE ผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์และผู้เช่าหลักของกองทุนฯ ผ่านสัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งจะหนุนให้มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ขณะที่สัญญาระยะยาวมาพร้อมกับต้นทุนในการเลิกใช้บริการ (switching cost) ระดับสูงช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ทั้งยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย
ที่มา: บางกอก ออทัม