จากการที่บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BAFS ได้ลงนามในสัญญาให้สิทธิการบริหารระบบท่อส่งน้ำมัน (ช่วงกรุงเทพ-บางปะอิน) เป็นระยะเวลา 20 ปีแก่บริษัทย่อยของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้การจัดหาแหล่งเงินทุนของ FPT สำหรับค่าใช้จ่ายลงทุนในช่วง 18-24 เดือนข้างหน้า มีความชัดเจนมากขึ้น โดย FPT จะใช้เงินที่ได้รับจากสัญญาให้สิทธิการบริหารดังกล่าวเป็นแหล่งเงินทุนโดยไม่ต้องมีการก่อหนี้เพิ่ม
แม้ว่าอัตราการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS อาจจะช้าลงเล็กน้อยจากที่คาดไว้เดิม เนื่องจากการสูญเสียกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในส่วนของระบบท่อขนส่งน้ำมันที่ได้ให้สิทธิการบริหารไป แต่ในขณะเดียวกัน FPT ก็จะไม่มีความเสี่ยงในด้านปริมาณน้ำมันที่จะขนส่งผ่านท่อในส่วนที่อยู่ภายใต้สัญญาให้สิทธิการบริหาร
ฟิทช์ยังคงแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ BAFS อาจจะไม่สามารถลดอัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ให้ลงมาอยู่ในระดับประมาณ 6 เท่าหรือต่ำกว่าภายในสิ้นปี 2566 ได้ตามที่ฟิทช์ประมาณการ เนื่องจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศทั่วโลก เนื่องจากการอุบัติขึ้นของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอน
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
อัตราส่วนหนี้สินที่คาดว่าจะลดลงจากระดับสูง: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สิน FFO net leverage ของ BAFS จะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ ประมาณ 35 เท่า ณ สิ้นปี 2564 (ปี 2563 อยู่ที่ 23 เท่า) ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ในระดับ 10-11 เท่าในปี 2565 และประมาณ 6 เท่าในปี 2566 ซึ่งอัตราการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าว ช้ากว่าที่ประมาณการไว้เดิมเล็กน้อย เนื่องจากการสูญเสียกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในส่วนของระบบท่อขนส่งน้ำมันที่ได้ให้สิทธิการบริหารไป อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการลดลงของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดังกล่าวที่มีต่ออัตราส่วนหนี้สิน ก็ได้รับการบรรเทาลงบางส่วนจากการชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการของ FPT จำนวน 500 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 2565 โดยใช้เงินที่ได้รับจากสัญญาการให้สิทธิการบริหารดังกล่าว นอกจากนี้ เงินส่วนที่เหลือที่ได้รับจากสัญญาการให้สิทธิการบริหารดังกล่าว ยังสามารถใช้สำหรับค่าใช้จ่ายลงทุนสำหรับโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมันของ FPT ได้เต็มจำนวนโดยไม่ต้องก่อหนี้เพิ่ม
ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS จะเริ่มลดลงในปี 2565 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของธุรกิจการบิน หลังจากที่ประเทศไทยได้เปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในปัจจุบัน จะทำให้มีการใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ แต่ข้อจำกัดในการเดินทางโดยรวมในปัจจุบันก็มีความผ่อนคลายมากขึ้นกว่าในช่วงปี 2563-2564 ในขณะเดียวกัน บริษัทย่อยในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่งเข้าลงทุน ก็น่าจะทำให้ BAFS มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอเพิ่มเข้ามา แม้ว่าจะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้ไป
ความเสี่ยงในธุรกิจท่อขนส่งน้ำมันที่ลดลง: FPT จะไม่มีความเสี่ยงในด้านปริมาณน้ำมันที่จะขนส่งผ่านท่อในส่วนที่อยู่ภายใต้สัญญาให้สิทธิการบริหารอีกใน 20 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกัน เงินที่ได้รับจากสัญญาให้สิทธิการบริหารจำนวน 1.6 พันล้านบาท จะเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการก่อสร้างโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมันที่ถูกเลื่อนมา โครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมันจะทำให้ธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อของ FPT มีความแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากจะทำให้ FPT สามารถรับปริมาณน้ำมันได้มากขึ้น โดยเฉพาะจากคลังน้ำมันบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของประเทศไทยและช่วยลดระยะเวลาการถึงจุดคุ้มทุนของระบบท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยของ FPT ด้วย
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ FPT ในปี 2022-2023 น่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากระบบท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือต้องใช้เวลาในการเพิ่มปริมาณน้ำมันที่จะขนส่งจนสามารถที่จะชดเชยกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูญเสียไปจากสัญญาให้สิทธิการบริหาร อย่างไรก็ตาม โครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมันน่าจะทำให้ปริมาณขนส่งน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการก่อสร้างที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2566 หรือ ต้นปี 2567
การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะสั้น: ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 55 ของระดับก่อนการเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในปี 2565 และร้อยละ 85 ในปี 2566 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประเทศไทยได้เปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 และอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้ ฟิทช์ไม่คาดว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากระดับความแตกต่างของอัตราการฉีดวัคซีนในประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้วและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ยังคงมีอยู่ รวมถึงความเป็นไปได้ของการระบาดระลอกใหม่ของโควิด 19 อย่างไรก็ตาม ประมาณการของฟิทช์ อยู่บนสมมติฐานว่าข้อจำกัดการเดินทางต่างๆ ที่อาจถูกนำมาบังคับใช้อีกครั้ง จะเป็นลักษณะเฉพาะพื้นที่ หรือในช่วงเวลาสั้น และมีความเข้มงวดน้อยกว่ามาตรการที่ใช้ในปี 2563
ความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาน้ำมันที่จำกัด: BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS เป็นค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่ นอกจากนี้ BAFS ยังเผชิญกับการแข่งขันในธุรกิจที่จำกัด เนื่องจากอยู่ในธุรกิจที่ต้องได้รับสัมปทาน
รายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน: แม้ว่าแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจการบินจะอ่อนแอลงจากก่อนเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่การที่ BAFS ได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจพลังงานหมุนเวียน น่าจะช่วยสนับสนุนสถานะทางธุรกิจของ BAFS ในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าให้ยังคงแข็งแกร่ง จากกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับระดับของความเสี่ยงจากแหล่งพลังงาน โดยโครงการพลังงานหมุนเวียนได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ย 20-25 ปีกับคู่สัญญาที่มีความแข็งแกร่ง ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัทชั้นนำในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสำหรับโครงการในประเทศญี่ปุ่น
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
ลักษณะของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ BAFS มีความคล้ายคลึงกับบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (มหาชน) หรือ NNEG (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่มีรายได้ร้อยละ 70-80 มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (BBB+/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ดังนั้น ทั้งสองบริษัทจึงมีความเสี่ยงในด้านการแข่งขันที่ต่ำ อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของ BAFS ได้รับผลกระทบชั่วคราวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ในขณะที่ธุรกิจของ NNEG ได้รับผลกระทบที่น้อยกว่ามาก BAFS มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่า NNEG ซึ่งมีการกระจุกตัวของทรัพย์สินในทำเลที่ตั้งเดียวและดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียว อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ที่เคยอยู่ในระดับต่ำกว่า NNEG ได้เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าระดับอัตราส่วนหนี้สินของ NNEG เป็นอย่างมาก เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราส่วนหนี้สินของ NNEG ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากการลงทุนที่อยู่ในระดับสูงของ BAFS ในปี 2564 ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่า NNEG หนึ่งอันดับเนื่องจากสถานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่าเป็นอย่างมาก
ลักษณะของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ BAFS มีความคล้ายคลึงกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/ สถานะเครดิตโดยลำพังที่ a-(tha)) เช่นเดียวกันกับ NNEG GPSC มีรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์ได้ จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว อย่างไรก็ตาม GPSC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า BAFS เนื่องจากการกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์และรายได้ที่ดีกว่า อัตราส่วนหนี้สินของ GPSC ในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่า BAFS แต่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่อยู่ในระดับสูงของ GPSC ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC หนึ่งอันดับ
เช่นเดียวกับ BAFS บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF (BBB-(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาและบริหารศูนย์การค้าขนาดกลางภายใต้แนวความคิดศูนย์การค้าชุมชนในประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเป็นอย่างมาก ธุรกิจของ SF ถือว่ามีรายได้ที่สามารถคาดการณ์ได้อยู่ในระดับสูงเนื่องจากมีสัญญาเช่าระยะปานกลางถึงยาวกับผู้เช่ารองรับ แต่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้ SF ต้องให้ส่วนลดค่าเช่าจำนวนมากแก่ผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบ SF มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า BAFS และเผชิญกับการแข่งขันที่สูงกว่า อัตราส่วนหนี้สินของทั้งสองบริษัทน่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตที่สูงกว่า SF สองอันดับเนื่องจากสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างมาก
สมมุติฐานที่สำคัญ
สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ
- ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 55 ของระดับก่อนการเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในปี 2565 และร้อยละ 85 ในปี 2566 (2564 อยู่ที่ร้อยละ26.7)
- รายได้ของ FPT เติบโตประมาณร้อยละ 8 ในปี 2564 โดยมีปริมาณน้ำมันที่ขนส่งผ่านท่อในระดับใกล้เคียงกับปี 2563 ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดดำเนินการของท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยระยะที่ 2 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564; โดยปริมาณขนส่งน้ำมันภาคพื้นดินที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชยปริมาณขนส่งน้ำมันอากาศยานที่ลดลงร้อยละ 28-29; รายได้ของ FPT ลดลงร้อยละ 50-52 ในปี 2565 เนื่องจากการเข้าทำสัญญาให้สิทธิการบริหารระบบท่อขนส่งน้ำมันในช่วงกรุงเทพฯ ถึงบางปะอิน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 34-35 ในปี 2566
- อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ลดลงมาอยู่ในระดับร้อยละ 14-15 ในปี 2564 (ปี 2563 อยู่ที่ ร้อยละ 17.4) และเพิ่มกลับขึ้นมาอยู่ในระดับร้อยละ 40 ในปี 2565 และร้อยละ 53-55 ในปี 2566 ตามการฟื้นตัวของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยาน
- ค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนประมาณ 1.1 พันล้านบาทในปี 2564 จำนวนประมาณ 800 ล้านในปี 2565 และจำนวน 950 ล้านบาทถึง 1 พันล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายลงทุนในโครงการเชื่อมระบบท่อขนส่งน้ำมัน
- BAFS ไม่มีการจ่ายเงินปันผลในปี 2565 และการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเล็กน้อยในปี 2566
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
-แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับกลับมาเป็นมีเสถียรภาพได้ หากอัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ลดลงมาอยู่ในระดับประมาณ 6.0 เท่าได้ภายในปี 2566
ปัจจัยลบ:
-อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 6.0 เท่าหลังจากปี 2566
สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ: BAFS มีหนี้สินทั้งหมดจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 โดยหนี้สินจำนวนประมาณ 1.5 พันล้านบาทจะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นเดือนกันยายน 2564 หนี้สินจำนวนประมาณ 320 ล้านบาทได้รับการเลื่อนกำหนดชำระหนี้ออกไปเป็นปี 2566 ในขณะที่เงินกู้ระยะสั้นจำนวน 700 ล้านบาทน่าจะสามารถต่ออายุออกไปหากมีความจำเป็น จากการเข้าทำสัญญาให้สิทธิการบริหารระบบท่อขนส่งน้ำมัน ณ สิ้นปี 2564 ทำให้ BAFS ได้รับเงินจำนวน 1.6 พันล้านบาท ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องในระดับสูง BAFS ได้ตกลงที่จะชำระเงินกู้ระยะยาวจำนวน 500 ล้านบาทในปี 2566
นอกจากนี้ สภาพคล่องของ BAFS ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากยอดเงินสดคงเหลือและเงินลงทุนระยะสั้นที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสด (ตามคำจำกัดความของฟิทช์) จำนวน 1.1 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อแบบผูกพันไว้แล้วที่ยังไม่ได้เบิกถอน (Undrawn Committed Facility) จำนวน 500 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564
ลักษณะธุรกิจ
BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน และเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 2 แห่ง BAFS มีบริษัทย่อยที่ BAFS ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 70 ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อ จากคลังน้ำมันบางจากไปยังท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่งและเป็นเจ้าของระบบท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือระบบแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ BAFS ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่มีกำลังผลิตรวม 36 เมกะวัตต์ในประเทศไทยและ 13 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น
ที่มา: ฟิทช์ เรทติ้งส์