คุณวาสนา เล่าถึงโครงการนี้ว่า ความร่วมมือกับโลตัสในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทย ด้วยเป็นครั้งแรกที่สินค้าของ "นารายา" จะวางจำหน่ายผ่านช่องทาง Hypermarket จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำให้คนไทยรู้จักและหันมาใช้สินค้าของ "นารายา" มากขึ้น โดยในช่วงแรกเน้นวางสินค้าที่ใช้ง่าย ๆ เช่น กระเป๋าหลากหลายรูปแบบและขนาด ผ้ากันเปื้อน รองเท้าสำหรับใส่ในบ้าน ส่วนในอนาคตอาจเติบโตต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนอื่น ๆ เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ชุดนอน เป็นต้น
ในขณะเดียวกันก็เป็นครั้งแรกของ "โลตัส" ที่ได้นำสินค้า "นารายา" แบรนด์ไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาสร้างประสบการณ์ช็อปปิ้งที่แตกต่างให้กับลูกค้า โดย ดร.นริศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้โลตัสกำลังทำการ "รีแบรนด์" ตัวเองใหม่เพื่อให้เป็นห้างไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ายุคปัจจุบันมากขึ้น ดังนั้นการเพิ่มสินค้า "นารายา" เข้ามาบนเชล์ฟโลตัส สาขาเลียบทางด่วนรามอินทรา จึงเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าโลตัสได้ซื้อสินค้า "นารายา" ลวดลายพิเศษที่ออกแบบสำหรับวางจำหน่ายที่เฉพาะโลตัส ไม่เหมือนกับที่ขายในร้านนารายาสาขาอื่น
อีกทั้งสองแบรนด์ยังมีค่านิยมที่ตรงกัน คือ การผลิตสินค้าของ "นารายา" เป็นงานที่มีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาและสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และทำให้ชุมชนมีรายได้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือ การยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยประชาชน และองค์กร จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ "โลตัส" ร่วมเป็นพันธมิตรที่จะเจริญเติบโตไปด้วยกันกับ "นารายา"
โดยแนวคิดในการเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 คุณวาสนาได้ให้มุมมองว่า 'สติ' คือสิ่งที่เธอยึดเป็นหลักในการขับเคลื่อนเพื่อเดินหน้าต่อไปได้ และการจับมือกันของสองแบรนด์ นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนของสองธุรกิจผ่านการผสมผสานทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาด ระบบการดำเนินงานและขยายฐานลูกค้าให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมาย โครงการนี้จึงนับว่าเป็นฟันเฟืองก้าวสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทย หากใครผ่านไปผ่านมาแถวโลตัส เลียบด่วนรามอินทรา สามารถเข้าไปอุดหนุนสินค้าคุณภาพของ "นารายา" เพื่อให้โครงการเพื่อสังคมที่ดีเช่นนี้ยั่งยืนต่อไป
ที่มา: Move Pr