นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนที่นำเสนอผ่านระบบ VDO Conference ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันนี้ (14 มี.ค.65) ว่าผลประกอบการในปี 2564 บริษัทฯ พลิกมีกำไรสุทธิ 111.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 526 % จากปีก่อนที่ขาดทุน 26.07 ล้านบาท หลังได้รับปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือที่สูงขึ้นและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้รายได้เติบโตมากกว่าเท่าตัว ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่บรรเทาลง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผู้บริโภคลดการจับจ่ายในช่วงก่อนหน้า
"เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วกลับมาฟื้นตัวผลักดันการผลิตให้กลับมาขยายตัวอย่างมาก สังเกตได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่สูงถึง 54.2 หน่วย หลังจากลงไปจุดต่ำสุดกว่า 40 หน่วย ในช่วงการปิดเมือง ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังไม่แข็งค่าเมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นตัวหนุนความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตกว่าร้อยละ 25 เทียบกับปีก่อน" นายพงษ์เทพ กล่าว
ส่วนในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นว่าผลประการจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50-60% จากปี 2564 เนื่องจากบริษัทฯ คาดว่าอุตสาหกรรมขนส่งของไทยยังจะเติบโตต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิดที่เริ่มบรรเทาลงส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น,การบังคับใช้ RCEP ที่เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค.2565 ทำให้การนำเข้าส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศคล่องตัวมากขึ้น,ปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่มีความล่าช้าและเปราะบางส่งผลต่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมขนส่งของประเทศไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงภายนอกหลายประการเช่น สงครามทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ,อัตราเงินเฟ้อจากประเทศคู่ค้าที่อาจจะส่งต่อผ่านสินค้าต่างๆ หรือปัญหาการแข่งขันเชิงราคาหลังจากที่ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สะสมมากว่า 28 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าประจำที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset light ทำให้มีความคล่องตัวและไม่เกิดต้นทุนจมโดยไม่จำเป็น
นายพงษ์เทพ กล่าวต่อไปว่าในปี 2565 บริษัทฯ มีกลยุทธ์การดำเนินงานหลัก ดังนี้ 1.ขยายความสามารถในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งมุ่งเน้นขยายการให้บริการในธุรกิจหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยกลยุทธ์ในการขยายองค์กรประกอบด้วย การเพิ่มเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศ การเพิ่มปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งหน้าเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เท่าทันยุคดิจิตอลด้วยเครื่องมือต่างๆ
2.ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังธุรกิจการให้เช่าคลังสินค้าพร้อมบริการจัดส่ง โดยบริษัทฯ ต่อยอดธุรกิจโกดังสินค้าด้วยการให้บริการ Fulfillment center หรือศูนย์รวมสินค้าที่ทำหน้าที่รับสินค้าจากธุรกิจขนส่งที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ให้บริการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าอย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโกดังสินค้าขนาด 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับการพักสินค้าและมีแผนจะขยายเป็น 3,500 ตารางเมตรในปี 2565 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นพันธมิตรกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดการสินค้าในโกดังเก็บสินค้าเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดการต่างๆ โดยคาดว่าการร่วมมือจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2565
และ 3.บริษัทฯ เสริมความมั่นคงของการดำเนินงานด้วยธุรกิจใหม่ ด้วยเล็งเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของอุตสหกรรมขนส่งและเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นการเข้าลงทุนในธุรกิจดิจิตอลจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามาหนุนการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงอีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่งได้เป็นอย่างดี
ที่มา: เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์