นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและอื่น ๆ รายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกปี 2565 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อรับมือกับราคาพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับมีเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยตลอด เพื่อรับมืออย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ดังนั้น แผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในปีนี้จึงมุ่งเน้นทั้งเชิงรุกและเชิงรับในการเพิ่มยอดขายตามเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนให้ดียิ่งขึ้น โดยมุ่งพัฒนานวัตกรรมทั้งในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดขายและนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุน ผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยศูนย์ Technology and Innovation Center (TIC) ของบริษัทฯ อาทิ การนำ 'ขวดแก้ว Lightweight' (บรรจุภัณฑ์แก้วชนิดน้ำหนักเบา) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ใช้ปริมาณน้ำแก้วลดลงถึง 30% มาต่อยอดการวิจัยและพัฒนาสู่บรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น ซึ่งสามารถตอบโจทย์การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและช่วยลดต้นทุนได้ในเวลาเดียวกัน โดยต้องการจะพัฒนานวัตกรรมใหม่ให้สำเร็จในปีนี้ 3-5 ผลิตภัณฑ์
ขณะเดียวกันจะรุกเพิ่มยอดขายจากพอร์ตสินค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET และหลอดพรีฟอร์ม หลังปรับโมเดลธุรกิจเป็น Total Packaging Solutions ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยจะมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีความต้องการสินค้ากลุ่มดังกล่าวและเพิ่มยอดขายต่อรายจากฐานลูกค้าเดิมที่สั่งซื้อบรรจุภัณฑ์แก้ว นอกจากนี้จะจัดหากลุ่มบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องเพื่อเพิ่มความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้การส่งออกในปี 2565 เป็น 12% เพิ่มจากปีก่อนที่ 9% โดยจะมุ่งเน้นเพิ่มยอดขายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องและราคาขายที่ค่อนข้างดี นอกจากนี้มีแผนลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มกำลังการผลิตเตาหลอมแก้วที่ 1 ของโรงงานอยุธยา เป็น 400 ตันต่อวัน จากเดิม 320 ตันต่อวัน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการไตรมาส 1/2566 แล้วเสร็จไตรมาส 2/2566
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC กล่าวว่า จากแผนยุทธศาสตร์ที่ผลักดันยอดขายปีนี้เติบโต 5-10% อยู่ที่กว่า 13,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีสินค้าพร้อมขายหลังจากได้เร่งการผลิตในช่วงปลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งจะมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุน ลดอัตราสูญเสียในกระบวนการผลิต ปรับส่วนผสมวัตถุดิบเพื่อควบคุมต้นทุนโดยไม่กระทบคุณภาพ เจรจาซัพพลายเออร์เพื่อล็อกราคาวัตถุดิบบางส่วน นำเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานเข้ามาปรับใช้มากขึ้นและพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นนโยบายดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ด้านการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล โดยมีนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต การเพิ่มสัดส่วนใช้เศษแก้วในการผลิต การรีไซเคิลน้ำเสียก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติ ควบคู่กับการดูแลสังคมและชุมชนรอบโรงงาน นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนลงทุนปรับเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงจากพลังงานทางเลือกแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 1 เตา จากปัจจุบัน 2 เตา เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย