นายศิวนัส ยามดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสชัวร์ เทคโนโลยี จำกัด ( Assure Technology Co., Ltd.) บริษัทผู้พัฒนาระบบซอฟต์แวร์เกี่ยวกับบล็อกเชน (Blockchain), คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และฟินเทค (FinTech) หนึ่งในอดีตผู้ก่อตั้งกระดานเทรดสินทรัพย์ "Coin Asset" เปิดเผยว่า ตนได้มีโอกาสกลับเข้าสู่วงการบล็อกเชนอีกครั้ง โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสชัวร์ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของบริษัท บอสเวลล์ ดิจิทัล โฮลดิ้ง จำกัด (Boswell Digital Holding Co., Ltd.) ขณะที่การกลับมาในครั้งนี้ ถือเป็นความท้าทายใหม่ที่ตนได้เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีสำหรับธุรกิจใหม่ จากการพัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโลกสกุลเงินดิจิทัล
สำหรับแนวโน้มตลาดการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล มีการเติบโตขึ้นมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ทางเลือกในการลงทุนสำหรับผู้ที่สนใจถือสินทรัพย์ดิจิทัลภายในประเทศมีอยู่ค่อนข้างจำกัด บริษัทฯ จึงเล็งเห็นถึงโอกาสของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม ขณะที่การปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจทางการเงินอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) เป็นการขยายขีดความสามารถเดิมที่เคยมีอยู่ให้กว้างขึ้น เนื่องจากในภาพรวมต้องยอมรับว่าความสามารถในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อของคนไทยยังทำได้ไม่มากนัก และด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จึงทำให้ความต้องการสินเชื่อในช่วง 3-5 ปี ข้างหน้า น่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากกลุ่มอุตสาหกรรม Non-bank ในปัจจุบันที่มีมูลค่าสูงกว่าธนาคารพาณิชย์ จึงมองเป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้ามาทำธุรกิจในอุตสาหกรรมดังกล่าว
ล่าสุดบริษัทฯ เตรียมพัฒนาแอปพลิเคชัน ภายใต้ชื่อว่า "PEER.Money" (เพียร์ดอทมันนี่) "แพลตฟอร์มรับจำนำคริปโทเคอร์เรนซี" ด้วยสินเชื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ผ่านแอปพลิเคชัน PEER.Money โดยลูกค้าสามารถนำคริปโทเคอร์เรนซี มาวางค้ำประกันเพื่อแลกเป็นเงินเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ที่ต้องการเงินด่วนบนโลกแห่งความเป็นจริง โดยทำธุรกรรมบน "PICO Chain" ซึ่งนับเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และในอนาคตวางแผนให้ PEER. Money สามารถขอสินเชื่อได้ ทั้งสินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต เพื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำรองให้กับบุคคลทั่วไปโดยไม่ผ่านระบบธนาคารแบบเดิม ๆ ทั้งนี้ จึงมั่นใจว่าแอปพลิเคชัน "PEER.Money" จะได้รับกระแสตอบรับที่ดี คาดว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคม 2565 นี้
"การที่ผมกลับมาครั้งนี้จะกลับไปโตในสังเวียนเดิม คงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกวันนี้ ตลาดคริปโทฯ เดิม ขยายตัวไปมาก จึงมาวิเคราะห์ถึงช่องทางและโอกาสการเติบโต และด้วยปัจจุบันเทคโนโลยีถือว่าก้าวไกลและมีความพร้อม เงินทั่วโลกในระบบสินเชื่อมีมูลค่ามหาศาล จึงเป็นจุดเริ่มต้นสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ในลักษณะ Non-bank โดยเป้าหมายการกลับมาของผมจริง ๆ ในรอบนี้คือ ต้องการสร้างธุรกิจที่เชื่อมโยงโลกคริปโทฯ เข้ากับโลกจริง ๆ ในปัจจุบัน นั่นคือเรื่องสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล โดยมีการพัฒนาระบบเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อมาเป็นหลักค้ำประกัน (Asset-Backed) สำหรับสินเชื่อดังกล่าว จะสำเร็จได้ ก็ต้องมีผู้ใช้งานและพันธมิตรจำนวนมาก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ 2-3 ราย" นายศิวนัส กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าคดีความเรื่อง JFin Coin ตนเองไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องดังกล่าว ภายหลังจากที่ตนเป็นคนออกมาช่วยผู้เสียหายที่ยังไม่ได้โทเคนคืนและจะดำเนินทุกวิธีการทางด้านกฎหมาย รวมไปถึงได้แสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ปัจจุบันได้มีการติดต่อเจรจากับนักลงทุนที่ได้รับความเสียหายและดำเนินการทำข้อตกลงร่วมกันและขอพักชำระหนี้เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการชดเชยโทเคนที่คงค้างไว้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเปิดรับสมัครบุคลากรจำนวนมากเพื่อมาร่วมงานกับบริษัทฯ หลายตำแหน่ง โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานและเติบโตไปด้วยกัน ทั้งนี้สามารถติดต่อสอบถามและสมัครได้ที่ [email protected]
อนึ่ง บริษัท บอสเวลล์ ดิจิทัล โฮลดิ้ง จำกัด มีเป้าหมายคือการสร้าง Start Up รายต่อไปให้เกิดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ 2 รูปแบบการเติบโต นั่นคือการปลุกปั้นเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ ในวงการ และมุ่งหาพาร์ทเนอร์ที่เป็นบริษัท Start Up ในการเข้าไปร่วมพัฒนาและร่วมทุนเพื่อให้เกิดระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง จนปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจไปสู่การส่งเสริมและพร้อมสนับสนุนด้านธุรกิจและเงินทุนแก่บริษัท แอสชัวร์ เทคโนโลยี จำกัด อย่างเป็นทางการ
ที่มา: บียอนด์ โซลูชันส์