นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า หลังจากคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,751,200,000 บาท จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 20,400,278,730 บาท ซึ่งจะเพิ่มเป็น 23,151,478,730 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 275,120,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 10 บาท พร้อมทั้งเห็นชอบการจำหน่ายหุ้นสามัญของบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) จำนวนทั้งสิ้น 304,098,630 หุ้น สัดส่วนประมาณ 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 22,351 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้รับไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น จากการเข้าลงทุนใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันที่ 7 เมษายน 2565 เวลา 9.00 น. ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซนเตอร์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว เพื่อขอมติจากผู้ถือหุ้นในการทำธุรกรรมดังกล่าว
"การเพิ่มทุนและการจำหน่ายหุ้น GPSC ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างทางการเงินของไทยออยล์ เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตตามกลยุทธ์ในระยะยาว ด้วยการต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพยิ่งขึ้น ทำให้โครงสร้างธุรกิจของไทยออยล์มีความสมบูรณ์และหลากหลายยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายในปี 2573 ที่จะมีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียม 40% และมาจากธุรกิจปิโตรเคมี และ Hight Value Product อีก 40% ธุรกิจไฟฟ้า 10% ธุรกิจอื่นๆ อีก 10%" นายวิรัตน์ กล่าว
นางวนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและบัญชี บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า การออกเพิ่มสามัญทุนจำนวนไม่เกิน 275,120,000 หุ้น จะมีการจัดสรรหุ้นแบ่งออกเป็นดังนี้ 1) เสนอให้แก่ประชาชนทั่วไป (Public Offering: PO) จำนวนไม่เกิน 239,235,000 หุ้น ซึ่งรวมการเสนอขายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 80% ของหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้ 2) บริษัทฯ อาจพิจารณาจัดสรรหุ้นส่วนเกินกว่าจำนวนที่จัดจำหน่าย (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 35,885,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายในครั้งนี้ ในกรณีที่มีผู้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ เกินกว่าจำนวนที่เสนอขาย
สำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ เนื่องจากจะส่งผลให้อัตราส่วนระหว่างหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt-to-Equity Ratio: D/E) ปรับลดลงน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เท่า ขณะเดียวกันจะคงอันดับความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (Credit rating) ให้อยู่ในเกณฑ์กลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) ทำให้บริษัทฯ มีความคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความยั่งยืน ทั้งในธุรกิจหลักอย่างการกลั่นน้ำมันและปิโตรเลียม รวมถึงการขยายโอกาสไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve
ขณะที่การจำหน่ายหุ้นสามัญของ GPSC จำนวนทั้งสิ้น 304,098,630 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GPSC เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 22,351 ล้านบาท ให้แก่บมจ.ปตท. (PTT) และ/หรือ บริษัท สยาม แมนเนจเม้นท์ โฮลดิ้ง จำกัด (SMH) ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วน 100% บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเป็นผลดีต่อการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าของไทยออยล์ในระยะยาว เนื่องจากปตท. มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และจะสามารถให้การสนับสนุนแก่ GPSC ได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้นในฐานะ Flagship ด้านธุรกิจไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ไทยออยล์จะยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นใน GPSC ไม่น้อยกว่า 10% จากปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 20.78% เพื่อเป็นการรักษาสัดส่วนกำไรที่จะได้จากธุรกิจไฟฟ้าตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว
ที่มา: เอ็มที มัลติมีเดีย