นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ "KUN" ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบในเขตพื้นที่ชานเมือง เปิดเผยว่า จังหวัดนนทบุรี มีวิสัยทัศน์ในการเป็นเมืองที่อยู่อาศัยชั้นดีของคนกรุงเทพฯ โดยมุ่งพัฒนาเมืองเพื่อการเป็นที่อยู่อาศัยในทุกรูปแบบ และตอบโจทย์บนทำเลที่ใกล้กรุงเทพฯ รวมถึงแหล่งการคมนาคมควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับการเดินทาง ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจึงสะท้อนถึงตัวเลขโครงการที่อยู่อาศัยที่ทยอยเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่อัตราการแข่งขันที่ทวีความคึกคักมากยิ่งขึ้นดังนั้น
"ทำเลบางบัวทองเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง มีการแข่งขันที่หลากหลายมากขึ้นในทุกระดับสินค้า ผู้บริโภคจะมีโอกาสได้เลือกที่อยู่อาศัยตามสไตล์ชีวิตของตนเอง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของทั้งโควิด-19 และฝุ่นมลภาวะในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้ามองหาบ้านแนวราบมากขึ้น ทำเลนี้จึงโดดเด่น ในแง่ของราคาที่ไม่แพงเกินไป ซึ่งพฤติกรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมุ่งเน้นที่อยู่อาศัยที่มีความคุ้มค่า สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบทุกมิติ และเป็นระดับราคาที่จับต้องได้ ซึ่งโครงการของ "KUN" ตอบทุกความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างลงตัว"
"KUN" ในฐานะผู้นำในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (เจ้าตลาด) ในทำเลบางบัวทอง จึงเห็นถึงโอกาสต่อยอดการลงทุนโซนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางในการครองแชมป์การเป็นเจ้าตลาดของโซนนี้ คือการชิงส่วนแบ่งตลาด (Market Penetration) ด้วยการพัฒนาสินค้าบ้านใหม่ๆ ให้ครบทุก Segment ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยวพรีเมี่ยม และอาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันก็พัฒนาสินค้าบ้านใหม่ ๆ เพื่อทดแทนสินค้าที่กำลังจะหมดลง สำหรับรองรับความต้องการที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการ "คุณาลัย พาร์โก้" ซึ่งถือว่าเป็นโครงการบ้านสไตล์โมเดิร์น อิตาเลียน แห่งแรกในโซนบางบัวทอง โดยชูคอนเซ็ปต์หลักของโครงการ คือครอบครัวที่อยู่ร่วมกันหลากหลายเจนเนอเรชั่น (Gen) ในบ้านหลังเดียว ในระดับราคาเริ่มต้นที่ 4.79 ล้านบาท ถือเป็นบ้านราคาสูงที่สุดของโครงการ"คุณาลัย" โดยจุดเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการ คุณาลัย พาร์โก้ มาจากการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ภายใต้โจทย์ "หากคุณาลัยจะทำบ้านที่มีสไตล์พิเศษคุณอย่างจะให้เป็นแบบใด" ซึ่งลูกค้าให้ความสนใจกับแนวนี้อย่างมาก จึงร่วมกันแสดงความคิดเห็น จนมีการพัฒนาออกมาเป็นโครงการ "คุณาลัย พาร์โก้"
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเรามีการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในโซนนี้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ KUN สามารถครองใจผู้บริโภคในโซนนี้ได้ตลอดระยะเวลา15 ที่ผ่านมา ซึ่งจากนี้ไปผู้บริโภคจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของสไตล์บ้านของ KUN ที่เปลี่ยนไป เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของเราเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งความหลากหลายของอายุ ไลฟ์สไตล์ ทำเล และความชอบ โดยภายในปีนี้ "KUN" จะทำรีแบรนดิ้ง เพื่อสร้างแบรนด์คาแรคเตอร์ให้ชัดเจน เพื่อตอบทุกโจทย์ที่อยู่อาศัยในทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับโครงการ "คุณาลัย พาร์โก้" เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์น อิตาเลียน รวมจำนวน 96 ยูนิต บนที่ดิน 21 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย 1. LUCCA มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 150 ตารางเมตร 2.COMO ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 170 ตารางเมตร และ 3. VERONA ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 200 ตารางเมตร
"กลยุทธ์หลักของ "KUN" คือการพัฒนาตัวสินค้าให้ขายตัวเองได้ด้วยความ "คุ้มค่า น่าซื้อ" ซึ่งเป็นจุดแข็งของสินค้าเรา และการตลาดที่มีความเฉพาะสำหรับกลุ่มฐานลูกค้าที่เก่า ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการแนะนำ บอกต่อ หรือชักชวนกันมาอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ หากนับรวมโครงการที่ผ่านฝีมือการบริหารของครอบครัวมามากกว่า 40 ปี เรามั่นใจว่าเป็น 1 ใน 5 ของปริมาณลูกค้า (มากกว่า 25,000 ครัวเรือน จากหลากหลายแบรนด์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน) ดังนั้นจากศักยภาพของทุกโครงการที่ "KUN" มุ่งพัฒนา ประกอบกับฐานชื่อเสียงด้านความรับผิดชอบ จึงเป็นข้อตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีให้กับ "KUN" อย่างต่อเนื่อง " นางประวีรัตน์ กล่าว
ปัจจุบัน "KUN" มีโครงการอยู่ในระหว่างการขายและพัฒนาในโซนบางบัวทอง ทั้งหมด 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3,600 ล้านบาท ซึ่งมีโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้วบางส่วน และยังคงมีสินค้าเหลือขายพร้อมรับรู้รายได้อีก จำนวน 615 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 2,220 ล้านบาท นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีที่ดินดิบในโซนดังกล่าวคงเหลืออีกประมาณ 60 ไร่ ซึ่งหากนำมาพัฒนาโครงการ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1,800 ล้านบาท รองรับการเติบโตในอนาคตได้อีกประมาณ 5 - 7 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีนโยบายที่จะมองหาที่ดินในจังหวัดนนทบุรีโซนอื่นเพิ่ม เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันได้มุ่งหาที่ดินบริเวณอำเภอบางใหญ่ เนื่องมองว่าดีมานด์ที่อยู่อาศัยในโซนดังกล่าวยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ต่อเนื่อง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วิลล่า คุณาลัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกเหนือจากโซนบางบัวทองที่"KUN" เป็นเจ้าตลาดแล้ว บริษัทฯ ยังมีBusiness model และ vision ในการขยายธุรกิจ 2 ทิศหลักๆ ประกอบด้วย ทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ (ฉะเชิงเทรา) และทิศใต้ของกรุงเทพฯ (บางขุนเทียน) ซึ่งทั้ง 2 ทิศดังกล่าว มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง เพราะเป็นแหล่งงานจากการพัฒนาของเมือง และการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจต่างๆ อีกทั้งยังมีการคมนาคมที่สะดวก ขณะเดียวกันในปีนี้ KUN ยังมองหาโอกาสในการขยายการพัฒนาโครงการเพื่อต่อยอดไปยังทิศที่ 4 คือทิศเหนือของกรุงเทพฯ อาทิ ปทุมธานี และรังสิต เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งหากแผนกลยุทธ์ดังกล่าวสำเร็จ จะส่งผลให้"KUN" มีโครงการบ้านภายใต้ " วิลล่า คุณาลัย" ครบทั้ง 4 ทิศตามแผนที่วางไว้
โดยโครงการใหม่ ที่มีแผนเตรียมเปิดตัวในปีนี้ นอกเหนือจาก"คุณาลัย พาร์โก้" ประกอบด้วย 2 โครงการ คือ 1.โครงการ คุณาลัย เดซี่ (Kunalai Daisy) โซนบางบัวทอง มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท เป็นโครงการที่พัฒนาใหม่ เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่กำลังจะหมด เป็นสินค้าบ้านแฝดและบางเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ขายดีที่สุด โดยการพัฒนาจะเน้นเรื่อง "ตัดส่วนเกิน เพิ่มเติมส่วนขาด" ตามความถนัดที่ "KUN" มี ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในบ้านเพิ่มขึ้น และ 2.โครงการ คุณาลัย นาวาร่า (Kunalai Navara) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจุดเด่นของโครงการ คือความพิเศษของทำเลที่อากาศดีที่สุดในกรุงเทพฯ และจะเป็นโครงการสุดท้ายในโซนดังกล่าว ในระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการจะเปิดขายเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ สำหรับปี 2565 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำตัวเลข New High ต่อไป โดยบริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายรายได้อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15-20 % จากปี 2564 และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่1,800 ล้านบาท เติบโตจากปี2564 ที่ 1,510 ล้านบาท พร้อมทั้งยังตอกย้ำว่าในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลกำไรของ "คุณาลัย" อย่างชัดเจน หลังจากที่ได้ลงทุนมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มี Backlog มูลค่า 430.79 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาภายในปีนี้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ มองแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศ ปี2565 ว่า แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยมองว่าสถานการณ์ในปัจจุบันพ้นจุดที่ต่ำสุดของดัชนีต่าง ๆ ที่สำคัญแล้ว ขณะที่ภาครัฐยังคงดำเนินนโยบาย "งบประมาณขาดดุล" การลงทุนที่สำคัญของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น รถไฟฟ้า ถนน ทางด่วน ซึ่งส่งผลต่อการหมุนเวียนของกระแสเงินภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกระตุ้นช่วยเหลือโครงการต่าง ๆ ทยอยออกมาต่อเนื่อง เช่นการใช้จ่าย โครงการคนละครึ่ง การท่องเที่ยวและอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อได้ รวมถึงการเปิดรับชาวต่างชาติ ทำให้ภาพรวมของทุกอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นค่อนข้างชัดเจนในทุกด้าน
ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์