นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF เปิดเผยว่า JDF กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.60 บาท/หุ้น เปิดให้จองซื้อในวันที่ 29 - 31 มีนาคม 2565 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 7 เมษายน 2565 ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า "JDF"
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.60 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 25.78 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564)
ล่าสุด JDF ได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด
นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ เพื่อลงทุนในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง ขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย และลงทุนในระบบเทคโนโลยีและระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต พัฒนาระบบการเชื่อมโยงด้านข้อมูล เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งใช้ชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน โดยระยะเวลาในการใช้เงินปี 2565-2567
โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นผู้นำในการผลิตเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเป็นหัวใจสำคัญและสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมอาหารอย่างยั่งยืน เพื่อเติบโตในระดับโลก โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการลงทุนในการสร้างโรงงานใหม่บนพื้นที่กว่า 33 ไร่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มกำลังการผลิตเครื่องปรุงรสกว่า 75% จากกำลังการผลิตของโรงงานเดิม
การเข้าจดทะเบียนใน SET ครั้งนี้ สนับสนุนให้ JDF เพิ่มศักยภาพ ความสามารถในการแข่งขัน และความพร้อมในการเติบโต โดยแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารใหม่สำหรับตลาดอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง รองรับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตที่ให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ (Healthy Snack) โปรตีนหรือผักผลไม้อบกรอบ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช (Plant-Based) โดยบริษัทฯ คาดว่าการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ข้างต้นจะก่อให้เกิดรายได้เชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 และบริษัทตั้งเป้าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตควบคู่กับการคืนผลตอบแทนแก่นักลงทุน
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความน่าสนใจของ JDF ซึ่งเป็นหุ้นด้านนวัตกรรมอาหารน้องใหม่ที่มีจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดเครื่องปรุงรสมายาวนาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่มากมาย กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถช่วยลูกค้าในการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้ตรงตามความต้องการ โดยพัฒนามาแล้วกว่า 2,000 รสชาติ ให้ลูกค้ากว่า 300 ราย อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของ JDF เอง นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา JDF มีโรงงานแห่งใหม่ที่มีมาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล สามารถเพิ่มกำลังการผลิตพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในยุค New Normal เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูประดับประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศและลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่ม เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต
ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 มีรายได้จากการขายและบริการ 576.92 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 45.39 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 29.49% อัตราส่วนกำไรสุทธิ 7.75% คาดหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปด้วยจุดเด่นที่เหนือกว่าในด้านนวัตกรรมอาหารและการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ที่มา: ไออาร์ พลัส