ภาวะ Inverted Yield Curve ความกังวลใหม่ของตลาด
การประชุมที่ผ่านมา Fed ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ได้คาดการณ์ไว้ที่ 0.25% ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์ไว้ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในปีนี้ รวมทั้งปีจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยจำนวน 7 ครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก และสะท้อนว่า Fed ขยับตัวช้า (Behind the curve) โดยเคลื่อนไหวในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อขยับตัวขึ้นสูงมากแล้ว ดังนั้น Fed ต้องรับมือกับแรงกดดันที่สูงมาก ซึ่งทันทีที่คุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาแถลงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตลาดกลับปรับตัวขึ้น เสมือนว่าเป็นภาวะที่นักลงทุนมีความโล่งใจ
อย่างไรก็ตาม กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ คาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า 7 ครั้งในปี 2565 นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากในช่วงครึ่งปีแรก และครึ่งปีหลังเมื่อ Fed เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอลง ทำให้ต้องกลับมาทบทวนใหม่อีกครั้งว่า ครึ่งปีหลังจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง
นอกจากนี้ เมื่อ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ (Bond Yield) ขยับตัวขึ้น โดยบอนด์ยิลด์ระยะสั้นปรับตัวสูงขึ้นกว่าบอนด์ยิลด์ระยะยาว ทำให้ Spread ส่วนต่างของบอนด์ยิลด์ปรับลงมาต่ำมากในรอบหลายปี ส่งผลให้เกิดความกังวลใหม่ขึ้นในเรื่อง Inverted Yield Curve หรือภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาว ซึ่งจากข้อมูลในอดีตระบุว่า ภาวะดังกล่าวมักจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจขาลง (Recession) ดังนั้นตลาดกำลังเปลี่ยนความกังวลใหม่ จากเดิมในช่วงต้นปีมีความกังวลในเรื่องภาวะเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เมื่อมาในช่วงเดือนมีนาคม ด้วย Spread ที่แคบมาก ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลเรื่อง Inverted Yield Curve ซึ่งกรุงศรี และ แบล็คร็อก (BlackRock) พันธมิตรระดับโลก ยังคงให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 และ 3 ที่จะถึงนี้
เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวดีกว่าคาด
ที่ผ่านมากรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เชื่อว่า ในปีนี้รัฐบาลจีนจะไม่มี "มาตรการเก็บกวาดบ้าน" เหมือนเช่นในปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ Fed ออกมาประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กลับมีข่าวร้ายซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อตลาดจีน โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ของสหรัฐฯ ได้ประกาศรายชื่อ 5 บริษัทจีนที่เข้าข่ายจะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลกระทบต่อหุ้นเทคจีนอย่างรุนแรง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมานักลงทุนยังคงมีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่อาจจะฟื้นตัวช้า ขณะที่มุมมองของกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มองว่าหุ้นหลายตัวมีการจดทะเบียนทั้งในตลาดสหรัฐฯ และฮ่องกง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่สามารถซื้อขายในตลาดสหรัฐฯ ได้ แต่ยังคงสามารถซื้อขายในตลาดฮ่องกงได้ ดังนั้นประเด็นที่เกิดขึ้นอาจจะส่งผลกระทบที่จำกัดในเชิงการลงทุนเฉพาะนักลงทุนสถาบันบางแห่งในสหรัฐฯ หลังจากการประกาศข่าวร้ายเพียงไม่นาน ทางการจีนได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะดูแลตลาดหุ้นจีนไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไป ส่งผลให้ตลาดหุ้นฟื้นกลับมาแรงมาก สอดคล้องกับคำแนะนำของกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ ที่มีการระบุไว้ว่า ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลงแรงมีโอกาสฟื้นตัวแรงด้วยเช่นกัน ซึ่งหากนักลงทุนเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดลงจะได้ประโยชน์จากการลงทุนในครั้งนั้นดีมาก นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี สวนทางกับที่หลายคนกังวล โดยจากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ หลายตัวดีกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยอดการค้าปลีก ยอดการลงทุน ดังนั้นกรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ เชื่อว่า การฟื้นตัวจะเป็นไปได้อย่างดี รัฐบาลจีนคงต้องมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมอีกด้วย
หากย้อนไปดูช่วงต้นเดือนมีนาคม ดัชนีหุ้น Nasdaq Golden Dragon ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นเทคจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างมากในช่วงที่ตลาดมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีน และการประกาศเพิกถอนหุ้นจีน โดยลดลงไปกว่า 20% แต่สามารถฟื้นกลับมาเร็วมาก ขณะที่หุ้นจีนทั่วไปที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มเทคจะได้รับผลกระทบที่น้อยกว่า
คุณวิน อธิบายให้เห็นภาพเพิ่มเติมว่า "ลักษณะของตลาดหุ้นจีนเป็นตลาดที่มีอัตราการซื้อขายที่สูงมากจากนักลงทุนรายย่อย ขณะที่มีจำนวนนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันไม่มาก ดังนั้นรายย่อยจะมีผลทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความผันผวนได้มาก เวลาขึ้นจึงขึ้นค่อนข้างแรง เช่นเดียวกันเวลาลงจะลงแรงด้วย หากเราเข้าใจภาวะของตลาดในลักษณะนี้เมื่อดูข้อมูลตลาดวันต่อวันจะพบว่ามีความผันผวนมากเนื่องจากรายย่อยซื้อขายค่อนข้างมาก"
ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน กดดันภาพรวมตลาด
กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มองว่า ตลาดมีความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในหลายๆ เรื่อง เรื่องที่หนึ่งคือ มีความกังวลว่าสถานการณ์จะลุกลามบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งที่เกินขอบเขตของยูเครนหรือไม่ เรื่องที่สองคือ กังวลว่า จีนจะถูกมาตรการ Sanctions อย่างเช่นรัสเซียหรือไม่ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟคาดการณ์ว่า ความกังวลทั้งสองเรื่องมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนเรื่องที่สามคือ รัสเซียมีตราสารหนี้ทั้งสกุลเงินต่างประเทศและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีภาระที่ต้องชำระต่อเนื่อง จึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามสถานการณ์ว่ารัสเซียมีโอกาสที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือหรือกลายเป็น default หรือไม่ ซึ่งมองว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการถูกมาตรการ Sanctions มีผลในเชิงปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าจะไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤตตราสารหนี้
หากมองย้อนกลับไป 1 เดือนแม้ตลาดจะมีความผันผวนจากความเสี่ยงในเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน แต่ตลาดหุ้นกลับมาเป็นบวกได้ ตลาดหุ้นไม่ได้รับผลกระทบมากอย่างที่หลายคนกังวล และหากนักลงทุนเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนหลากหลายจะได้รับผลกระทบและความผันผวนที่น้อยลง
"หากบทเรียนของเราในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาคือ การซื้อในภาวะที่ทุกคนกลัว Buy on dip เป็นกลยุทธ์ที่ได้ประโยชน์ ในอนาคตหากมีภาวะตลาดในลักษณะนี้อีกจำเป็นต้องพิจารณาการลงทุน ความกังวลของตลาดคือโอกาสของเรา" คุณวิน กล่าวทิ้งท้าย
คำแนะนำและโอกาสการลงทุนในช่วงนี้
- KFHTECH ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กระจายการลงทุนไปทั่วโลก
- KFCYBER ลงทุนในหุ้นทั่วโลกของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่องรัสเซีย-ยูเครน ว่าเป็นหุ้นที่ Perform ได้ดีในภาวะที่มีความกังวลในเรื่องสงคราม
- KFGBRAND ลงทุนในหุ้นคุณภาพดี (High-Quality Companies) เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง
- KT-ASHARES ลงทุนในหุ้นจีน A-Shares สอดคล้องกับในช่วงที่หุ้นจีนเริ่มกลับมา ควรเลือกลงทุนหุ้นที่มีบริษัทขนาดใหญ่ มีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม
ลูกค้าและนักลงทุนที่สนใจสามารถรับชมสัมมนาย้อนหลังทั้งหมดได้ที่ YouTube: Krungsri Simple หรือสามารถติดตามข้อมูลและกิจกรรมที่น่าสนใจผ่านช่องทางไลน์ @krungsriexclusive
ที่มา: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา