ฟอร์บส์จัดอันดับเศรษฐีโลกปี 65 เอกชนไทยยังเข้มแข็ง พยุงเศรษฐกิจ ฝ่าแรงต้านอุปสรรครอบด้าน เทสล่าพา "อีลอน มัสก์" คว้าอันดับ 1 เศรษฐีโลก

พฤหัส ๐๗ เมษายน ๒๐๒๒ ๐๘:๓๙
นิตยสารฟอร์บส์ สื่อชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ประกาศการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลก หรือ "The World's Billionaires" หรือผู้มีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไป ประจำปี 2565 โดย นายอีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุนชาวอเมริกัน-แอฟริกาใต้ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทแห่งบริษัท Tesla ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินทั้งสิ้น 219,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้า เจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้ง บริษัทค้าปลีกออนไลน์แอมะซอน
ฟอร์บส์จัดอันดับเศรษฐีโลกปี 65 เอกชนไทยยังเข้มแข็ง พยุงเศรษฐกิจ ฝ่าแรงต้านอุปสรรครอบด้าน เทสล่าพา อีลอน มัสก์ คว้าอันดับ 1 เศรษฐีโลก

ฟอร์บส์รายงานว่าในปีนี้ สงคราม, โรคระบาด และตลาดที่ซบเซาส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีโลก โดยมีมหาเศรษฐี 2,668 คนในการจัดอันดับคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้ว 87 คน พวกเขามีทรัพย์สินมูลค่ารวมกัน 12.7 ล้านล้านดอลล่าร์ หรือน้อยกว่าในปี 2564 ถึง 4 แสนล้านดอลลาร์ การลดลงอย่างน่าตกตะลึงนี้เกิดขึ้นมากที่สุดในประเทศรัสเซีย ซึ่งมีมหาเศรษฐีลดลง 34 คนจากปีที่แล้ว หลังจากการบุกยูเครนของวลาดิมีร์ ปูติน อย่างไรก็ตามมีเศรษฐีพันล้านมากกว่า 1,000 คนที่ร่ำรวยขึ้น และมีมหาเศรษฐีหน้าใหม่ 236 ราย อเมริกายังคงเป็นผู้นำของโลก โดยมีมหาเศรษฐี 735 คน ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่ารวม 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึง อีลอน มัสก์ ประเทศจีน (รวมถึงมาเก๊าและฮ่องกง) ยังคงเป็นอันดับสอง โดยมีมหาเศรษฐี 607 คน มูลค่าทัรพย์สินรวม 2.3 ล้านล้านดอลลาร์

ในการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีโลกประจำปีนี้ มีคนไทยติดอันดับรวมทั้งสิ้น 28 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บริษัทชั้นนำของไทย โดยอยู่ในอันดับที่ 137 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 13,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 405,000 ล้านบาท โดยลดลงจากปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งติดอันดับที่ 103 มีทรัพย์สินรวม 18,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 543,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี นายเจริญ เจริญสิริวัฒนภักดี อันดับที่ 156 มีทรัพย์สินรวม 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 360,000 ล้านบาท , นายสารัชถ์ รัตนาวะดี อันดับที่ 161 มีทรัพย์สินรวม 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 354,000 ล้านบาท

รายงานข่าวจากเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือเครือซีพี เปิดเผยว่าเครือซีพีดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการพัฒนาที่ยั่งยืนและยึดมั่นในปรัชญา "3 ประโยชน์" ประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นอันดับแรก ถัดมาคือประชาชน และผลประโยชน์ของบริษัทเป็นอันดับสุดท้าย บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ความสุจริต และความเป็นธรรม โดยในปี 2563 เครือเจริญโภคภัณฑ์นำส่งภาษีเข้ารัฐ 22,475 ล้านบาท และมีการจ้างงานพนักงานในเครือรวม 149,978 ล้านบาท

เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังคงลงทุนด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ยังคงเติบโตท่ามกลางสภาวะวิกฤติจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการลงทุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ด้วยโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นโยบายการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นภายในประเทศ และช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนทั่วโลกได้

เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Tech Company ด้วยการผนึกกำลังกับองค์กรชั้นนำระดับโลก MIT - Plug and Play ตั้งเครือข่ายองค์กรพันธมิตรด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี "CPG Open Innovation Ecosystem Partner" ค้นคว้าและวิจัยทั้งด้านธุรกิจอาหาร เกษตรกรรม ไปจนถึงด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีอีกหลายแขนง โดยทุกเทคโนโลยีจะนำไปสู่นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ

นอกจากการช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกไม่ให้ทรุดตัวหนักแล้วนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังช่วยบรรเทาผลกระทบของวิกฤติดังกล่าว โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทผ่านหลายโครงการ อาทิ การร่วมกับพันธมิตรจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม,โครงการซีพีร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 สนับสนุนอาหารและการสื่อสารแก่โรงพยาบาลสนาม, สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย,โครงการซีพีปันปลูกฟ้าทะลายโจร, โครงการครัวปั่นอิ่มร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19 และยังคงเดินหน้าโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบาย "แพลตฟอร์มแห่งโอกาส" ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการฟื้นฟูประเทศไทย ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพัฒนาศักยภาพ เพื่อขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจและโครงการ 60+Plus Kitchen by CP เพื่อฝึกทักษะอาชีพด้านธุรกิจร้านอาหารและบริการแก่ผู้บกพร่องทางการมองเห็น

จากทุกองค์ประกอบ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้รับการประเมินดัชนีความยั่งยืนประจำปี 2564 จาก S&P Global ให้เป็นผู้นำอันดับที่ 3 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรม Industrial Conglomerates โดยเป็นผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของเครือซีพี ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อร่วมพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน นำคุณภาพชีวิตที่ดีสู่ประชาชน

ที่มา: ซีพี

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ