นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2565 ภายใต้ความผันผวนสูงของตลาดทุนทั่วโลกจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน กดดันผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ออกมาติดลบ ไม่ว่าจะเป็น 3 ตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา ติดลบตั้งแต่ 3-7% และตลาดหุ้นจีน สร้างผลตอบแทนได้แย่ที่สุดในกลุ่มตลาดหุ้นหลัก โดยให้ผลตอบแทนติดลบ 10% ส่วน SET Index ของไทยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากต้นปี แต่อย่างไรก็ดี ยังมีสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี คือ ทองคำ บิทคอยน์ และน้ำมันดิบ Brent ซึ่งให้ผลตอบแทนในอัตรา 8% 15% และ 60% ตามลำดับ
สำหรับมุมมองการลงทุนในไตรมาสที่สองของปีนี้ มองว่าสินทรัพย์ที่น่าสนใจและสามารถหลบเลี่ยงความผันผวนจากสถานการณ์สงครามที่ยังไม่จบลง คือ อสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ โดยสามารถลงทุนได้ผ่านทางกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยเฉพาะอสังหาฯ ในฝั่งตะวันตกที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 อย่างชัดเจน และจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงไปมากแล้ว น่าจะทำให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น อสังหาฯ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่รับความผันผวนได้ต่ำ
ขณะที่ อสังหาฯ ไทย คาดว่าจะฟื้นตัวจากผลกระทบที่มาจากไวรัสโควิดได้เช่นกันจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาระดับใกล้เคียงกับช่วงเวลาปกติ โดยเฉพาะการผ่อนปรนนโยบายการเข้าประเทศของชาวต่างชาติ น่าจะทำให้อสังหาฯ ประเภทโรงแรม มีผลประกอบการที่ดีขึ้น รวมถึงกลุ่มค้าปลีกที่จะกลับมาเติบโต เพราะน่าจะไม่มีนโยบายปิดเมืองอีกแล้ว อย่างไรก็ตามอสังหาฯ ประเภทสำนักงานให้เช่า อาจจะยังไม่ฟื้นตัว เพราะผู้ประกอบการบางส่วนอาจจะไม่กลับเข้าไปทำงานในสำนักงานอีก
นายณพวีร์ กล่าวว่า ทางด้านกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้น มองว่าตลาดหุ้นต่างประเทศฝั่งตะวันตก อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจ เพราะถือได้ว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสแรก และกำลังฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่สอง โดยสามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นในธุรกิจดั้งเดิมและหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ส่วนหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กยังฟื้นตัวได้น้อยกว่า จึงอาจจะต้องมองเป็นการลงทุนระยะยาว
อีกหนึ่งตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นเวียดนามที่ปรับตัวลงมาในระดับที่น่าสนใจและสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วันได้ ส่วนตลาดหุ้นไทย SET Index แม้จะปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 1,700 จุด แต่ปกติช่วงไตรมาสสองจะเป็นช่วงที่หุ้นไทยค่อนข้างซบเซา และปีนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ๆ เกิดขึ้น จึงมองภาพระยะสั้นยังไม่น่าสนใจ แต่อาจจะทยอยสะสมระยะกลางเพื่อรอปัจจัยบวกใหม่ ๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ทางด้านตลาดหุ้นจีน เวลานี้สามารถเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีนที่เริ่มมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น แต่หุ้นจีนที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศอาจยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากที่ไวรัสโควิดยังคงแพร่ระบาดในหลาย ๆ เมือง และรัฐบาลยังคงใช้นโยบายปิดเมือง ซึ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
"การจัดพอร์ตในไตรมาสสองนี้ จึงมองว่ากองทุน REIT ที่ลงทุนในอสังหาฯ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะรับความเสี่ยงได้มาก หรือ น้อย ก็ตาม ส่วนใครที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้นลองพิจารณาหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยีจีน ส่วนใครที่มองการลงทุนระยะยาวลองทยอยสะสมหุ้นไทยและหุ้นจีนที่หวังผลตอบแทนในระยะ 6 เดือนขึ้นไป"
สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก "บิทคอยน์" ยังคงน่าสนใจ เนื่องจากราคาไม่ลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ระดับ 33,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะฟื้นตัวในช่วงสั้นจากการคาดการณ์ที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED จะไม่เคร่งครัดไปมากกว่าที่ประเมินไว้ ผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงสามารถทยอยสะสมได้ โดยมองเป้าหมายราคาหากมีการฟื้นตัว อยู่ที่ระดับ 55,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
"ขณะที่ ทองคำและน้ำมัน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในไตรมาสแรก แม้ว่าแนวโน้มทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานยังคงสนับสนุนให้ยังคงเป็นขาขึ้น แต่การที่ราคาขึ้นมาค่อนข้างมากและราคาค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครน ที่ประเมินสถานการณ์ลำบาก จึงมองว่าควรเน้นเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก" นายณพวีร์ กล่าว
ที่มา: เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง