นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี เป็นเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตัวเองและร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่สถานประกอบกิจการหยุดดำเนินการต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมักเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจร หรือเกิดอัคคีภัยขึ้นในสถานประกอบกิจการ เนื่องจากไม่ได้มีการเฝ้าระวังและขาดการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนในอัตราที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลายพื้นที่ ซึ่งยังต้องดำเนินการป้องกันและควบคุมอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นใหม่ กสร. จึงออกประกาศขอให้นายจ้างและลูกจ้างปฏิบัติตามมาตรการ "สงกรานต์สุขใจ แรงงานปลอดภัย" โดยตรวจสอบระบบไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักร และการจัดเก็บสารเคมีให้อยู่ในสภาพปลอดภัยก่อนวันหยุดต่อเนื่อง พร้อมทบทวนแผนฉุกเฉินโดยมีมาตรการที่สามารถรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ในส่วนของการจัดกิจกรรมสงกรานต์ ขอให้จัดตามประเพณีได้แบบที่ไม่สัมผัสกันโดยตรง ห้ามปาร์ตี้โฟม ห้ามประแป้ง ห้ามจำหน่ายและบริโภคแอลกอฮอล์ รวมทั้งกำกับ ดูแล และเน้นย้ำให้ลูกจ้างปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) และตรวจคัดกรองการติดเชื้อของลูกจ้างก่อนกลับเข้าทำงาน และขอให้นายจ้างรณรงค์ส่งเสริมให้ลูกจ้างตรวจสภาพยานพาหนะให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างปลอดภัยก่อนออกเดินทาง รวมถึงสร้างการรับรู้ในการขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด สวมหมวกนิรภัยและใช้เข็มขัดนิรภัยเมื่อขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง
อธิบดี กสร. กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยความร่วมมือของนายจ้าง ลูกจ้าง คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของสถานประกอบกิจการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ที่ดำเนินการตามมาตรการ "สงกรานต์สุขใจ แรงงานปลอดภัย" เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการประสบอันตราย อุบัติเหตุ รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะส่งผลให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกท่านปลอดภัยจากอุบัติเหตุ และมีความสุขห่างไกลจากโรค COVID-19
ที่มา: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน