นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประสบการณ์ในธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลยาวนานกว่า 50 ปี โดยมีบริษัทย่อยหลัก คือ บจ. เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ("PDITL") ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ในการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล อีกทั้งยังมีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลธุรกิจพลังงานดิจิทัล และธุรกิจที่ประกอบกิจการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคล เป็นต้น ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายส่งผลให้ STARK สามารถให้บริการได้อย่างหลากหลายและเติบโตอย่างรวดเร็วจนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตสายไฟอันดับ 14 ของโลกในปัจจุบัน
ทั้งนี้บริษัทฯ เดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ในการดำเนินงาน มุ่งเน้นการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลแรงดันไฟฟ้าปานกลาง สูง และสูงพิเศษ (Medium - Extra High Voltage) เพื่อรักษาอัตรากำไรในระดับสูง (High Margin) ต่อเนื่องในระยะยาว จากโรงงานทั้งในไทยและเวียดนามทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวม สำหรับผลิตภัณฑ์แรงดันไฟฟ้าสูงและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย การเสนอขาย และความเชี่ยวชาญในด้านสายแรงดันไฟฟ้าสูงและสูงพิเศษ และเพิ่มโอกาสในการประมูลงานสำหรับผลิตภัณฑ์ขนาดใหญ่ขึ้น ปัจจุบันโรงงานเวียดนามได้ติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลแรงดันไฟฟ้าสูงและสูงพิเศษแล้ว รวมทั้งห้องทดสอบแรงดันไฟฟ้าสูง ส่งผลให้ STARK สามารถขยายการผลิตได้ด้วยการใช้เงินทุนเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ STARK ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สายเคเบิ้ลใต้น้ำ (Submarine cable) เป็นการเชื่อมต่อโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Floating Cable) การผลิตสายไฟ HVDC Cable ระบบสายส่งกระแสตรงแรงดันสูง และการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ติดตั้งในทะเล (Offshore wind farm) เพื่อรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม พลังงานหมุนเวียน รวมถึง อุตสาหกรรมอวกาศและยานอวกาศอีกด้วย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยเป็นผลการเติบโตจากธุรกิจหลักคือ การผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล รวมถึงเติบโตจากแผนการขยายฐานรายได้เข้าสู่ธุรกิจยานยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตทั่วโลก ประกอบกับมีสายไฟเป็นปัจจัยที่สำคัญและจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงชุดสายไฟตามเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 12,000 - 13,000 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้พัฒนาแนวทางที่ยั่งยืนผ่านการควบรวม การซื้อกิจการ และการลงทุน โดยเน้นการส่งเสริมการเสนอขายผลิตภัณฑ์ การขยายและเพิ่มฐานตลาด ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดที่มีการเติบโตสูง (High-growth markets) โดยได้รับประโยชน์ในการพึ่งพาข้อตกลงระหว่างประเทศจาก FTA (Free Trade Area) ของบริษัทย่อย Thipha Cables ที่จะเอื้อต่อการส่งออก ซึ่งจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในระดับโลกและภูมิภาค โดยได้วางเป้าหมายขยายตลาดส่งออกเป็น 50 ประเทศ จากปีที่ผ่านมาส่งออก 42 ประเทศ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตขององค์กรอย่างต่อเนื่อง มั่นคงในระยะยาวและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อไป ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการผลิตสายไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลอันดับ 14 ของโลก โดย STARK มีเป้าหมายมุ่งเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลอันดับที่ 10 ของโลกต่อไป
ล่าสุด บริษัทฯ ได้ยื่นร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทครั้งที่ 1/2565 โดยเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 3 ชุด หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 9 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.90 - 3.10]% หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.60 - 3.80]% และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.00 - 4.20]% มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนจะมีการประกาศอีกครั้ง
ทั้งนี้ บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ "BBB+" แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2564 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในการดำเนินงานของบริษัทฯ ในฐานะผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยหุ้นกู้ในครั้งนี้จะเสนอขายต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ เท่านั้น และคาดว่าจะเปิดให้ผู้ลงทุนจองซื้อในวันที่ 9 - 11 พฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนสินเชื่อธนาคารและหุ้นกู้ของผู้ออกหุ้นกู้หรือบริษัทในกลุ่ม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ
ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 6 ราย ได้แก่
1) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 819 โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่านhttps://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา)
2) ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)1428 กด#4
3) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) (เสนอขายเฉพาะต่อผู้ลงทุนสถาบันเท่านั้น)
4) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร 02-658-5050
5) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด โทร 02-009-8352-56
6) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอเชีย เวลท์ จำกัด โทร 02-207-2124
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย