นายสุชาติ กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทยที่ได้ดูแลพี่น้องแรงงานไทยที่ไปทำงานในรัฐอิสราเอลเป็นอย่างดี ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ฝากขอบคุณท่านทูตฯ ด้วยที่ทำให้คนไทยมีงานทำ มีอาชีพ และท่านได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมแรงงานไทยให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เพื่อการมีงานทำ นำรายได้เข้าประเทศ ซึ่งกระทรวงแรงงานต้องขอขอบคุณรัฐบาลแห่งรัฐอิสราเอลที่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงด้านแรงงานเรื่องการจ้างแรงงานไทยทำงานชั่วคราวในภาคเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ "ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (Thailand-Israel Cooperation on the Placement of Workers : TIC) มาอย่างต่อเนื่อง
นายสุชาติ ยังได้กล่าวถึงการหารือประเด็นแนวทางการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในรัฐอิสราเอล เพื่อปรับปรุงกระบวนการจัดส่งให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่แรงงานไทย เนื่องจากทางการอิสราเอลได้เพิ่มโควตาให้มีการจัดส่งจากเดิม 5,000 คนเป็น 6,800 คน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงแนวทางการให้แรงงานไทยได้วีซ่าอุตสาหกรรม (Industrial Visa) เนื่องจากนายจ้างอิสราเอลยอมรับในช่างเชื่อมฝีมือคนไทยมากกว่าชาติอื่น ๆ และต้องการช่างเชื่อมเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะให้คนแรงงานไทยสามารถไปทำงานในภาคอุตสาหกรรมได้ นอกเหนือจากภาคเกษตรที่ทำอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานได้จัดส่งแรงงานไทยไปทำงานภาคเกษตรในรัฐอิสราเอลแล้วจำนวน 50,868 คน แรงงานที่ไปทำงานส่วนใหญ่จะเดินทางไปทำงานกับนายจ้างในกิจการภาคเกษตรและกิจการปศุสัตว์ มีระยะเวลาการจ้างงานครั้งแรก 2 ปี และสามารถต่อสัญญาจ้างได้อีก 3 ปี 3 เดือน รวมเป็นไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน จะได้รับค่าจ้างขั้นต่ำจำนวน 5,300 เชคเกลอิสราเอล โดยแรงงานไทยเหล่านี้ เมื่ออยู่ครบสัญญาจะนำประสบการณ์ทางเกษตรที่ได้รับจากการทำงานกลับมาพัฒนาประเทศและประกอบอาชีพของตนเองต่อไป
ที่มา: กระทรวงแรงงาน