ฟิทช์คงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ ธ.ทหารไทยธนชาต ที่ 'BBB' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AA+(tha)'; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

พฤหัส ๒๘ เมษายน ๒๐๒๒ ๑๕:๔๐
ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating) ของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ที่ 'BBB' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AA+(tha)' โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ สำหรับรายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดแสดงไว้ในส่วนท้ายของประกาศ

พร้อมกันนี้ฟิทช์ได้ยกเลิกอันดับเครดิตสนับสนุนที่ '2' และอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำที่ 'BBB' ของธนาคาร เนื่องจากอันดับเครดิตดังกล่าวมิได้มีนัยสำคัญเพียงพอในการติดตามวิเคราะห์อีกต่อไป หลังจากที่มีการปรับเกณฑ์การจัดอันดับเครดิต เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 และสอดคล้องกับประกาศหลักเกณฑ์ใหม่นี้ ฟิทช์ให้อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล (Government Support Rating: GSR) แก่ TTB ที่ 'bbb'

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
อันดับเครดิตสากลและอันดับเครดิตภายในประเทศของ TTB สะท้อนถึงมุมมองของฟิทช์ว่ารัฐบาลไทยมีความสามารถและมีแนวโน้มที่จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ (extraordinary support) แก่ธนาคาร หากมีความจำเป็น ทั้งนี้การสนับสนุนจากรัฐบาลพิจารณาจากความสำคัญของ TTB ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ในฐานะธนาคารที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 6 ของประเทศไทยและการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ TTB เป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศไทย (D-SIB)

อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวยังพิจารณาเปรียบเทียบโครงสร้างเครดิตของ TTB กับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศโดยฟิทช์

แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพของ TTB สอดคล้องกับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย ('BBB+'/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) และยังสะท้อนถึงการที่ฟิทช์เชื่อว่าโอกาสในการที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากทางการไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) ของ TTB สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจของธนาคาร (business profile) ที่ได้แรงหนุนจากเครือข่ายธุรกิจภายในประเทศ (franchise) ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและการดำเนินธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการแล้วเสร็จเมื่อเดือนธันวาคม 2562 แม้ธนาคารจะยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการได้อย่างเต็มที่มากนัก นอกจากนี้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน ยังสะท้อนถึงการที่อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของ TTB น่าจะยังสามารถรองรับแรงกดดันได้ในระดับหนึ่ง เช่น ด้านคุณภาพสินทรัพย์และด้านฐานะเงินกองทุน รวมทั้งยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปของสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานซึ่งส่งผลให้ความเสี่ยงปรับตัวลดลง

มีโอกาสสูงที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ: อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลของ TTB พิจารณาจากความเชื่อของฟิทช์ว่ามีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะให้การช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่ TTB เนื่องจากความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของธนาคาร TTB เป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 6 ในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านสินเชื่อและเงินฝากที่ประมาณ 8% และ 9% ตามลำดับ ณ สิ้นปี 2564 และมีสถานะเป็นธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศไทยในปี 2564 ซึ่งสะท้อนถึงขนาดของธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่ รวมทั้งธนาคารยังมีธุรกรรมทางการเงินที่มีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินในระดับสูง (interconnectedness) และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครอบคลุม

สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานได้แรงหนุนจากรัฐบาล: อันดับคะแนนด้านสภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานของภาคธนาคารไทยตามเกณฑ์ประเมินมาตรฐานของฟิทช์ (implied operating environment score) นั้นอยู่ที่ระดับ 'bb' แต่ฟิทช์ได้มีการปรับเพิ่มอันดับคะแนนโดยใช้ปัจจัยด้านอันดับเครดิตของประเทศไทยที่ 'BBB+/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ' โดยภาครัฐมีความสามารถในการสนับสนุนกิจกรรมทางธุรกิจและเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งเห็นได้จากมาตรการต่างๆ ในช่วงโรคระบาดโควิด-19 เช่น นโยบายทางการคลัง หรือการสนับสนุนจากธนาคารรัฐ ทั้งนี้ระดับหนี้สินของรัฐบาลไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีอันดับเคตรดิตในกลุ่มเดียวกัน

สถานะทางการตลาดปรับตัวดีขึ้น: ธนาคารมีเครือข่ายธุรกิจและขนาดธุรกิจที่ค่อนข้างใหญ่อีกทั้งยังมีการกระจายตัวของธุรกิจในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นอย่างมากหลังจากการควบรวมกิจการกับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เมื่อเดือนธันวาคม 2563 และฟิทช์คาดว่าธนาคารจะมีผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นในระยะปานกลาง โดยจะป็นผลมาจากการที่ธนาคารมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นซึ่งมุมมองดังกล่าวได้สะท้อนใน 'แนวโน้มเป็นบวก' ของอันดับคะแนนด้านโครงสร้างธุรกิจที่ 'bbb-' อย่างไรก็ตามฟิทช์อาจปรับแนวโน้มอันดับคะแนนดังกล่าวเป็น 'มีเสถียรภาพ' หากมีความชัดเจนมากขึ้นว่าการควบรวมกิจการไม่น่าจะส่งผลให้ฐานะทางการเงินของธนาคารปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและในระดับที่มีนัยสำคัญ

สินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นแต่ยังบริหารจัดการได้: คุณภาพสินทรัพย์ของ TTB น่าจะยังคงเผชิญกับแรงกดดันต่อเนื่องในปี 2565 เนื่องจากมาตรการผ่อนปรนสำหรับลูกหนี้สินเชื่อ (ซึ่งคิดเป็น 12% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2564) จะหมดอายุลงภายในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตามฟิทช์ยังคาดว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมไม่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก (สิ้นปี 2564: 3.1%) และน่าจะยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับกลุ่มอันดับคะแนน 'bbb' ได้

ทั้งนี้ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์อาจจะลดทอนลงได้บ้างจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการหดตัวของสินเชื่อของธนาคารที่ปรับตัวลดลง 1.5% ในปี 2564 (เทียบกับอัตราการเติบโตของสินเชื่อของอุตสาหกรรมเฉลี่ยที่ 6%) นอกจากนี้ TTB ยังคงมีอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพในระดับที่น่าพอใจที่ 128% ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งน่าจะช่วยเป็นกันชนในการตัดหนี้สูญและความเสี่ยงที่ไม่ได้คาดคิด ณ ระดับอันดับเครดิตปัจจุบัน
อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้นจากฐานที่ต่ำ: อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงของ TTB ที่ 1.0% ในปี 2564 ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอุตหสาหกรรม (เฉลี่ย 1.5%) และกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ฟิทช์คาดว่าความสามารถในการทำกำไรของธนาคารจะฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจและการปรับตัวลดลงบ้างของค่าใช้จ่ายในการเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ แม้ว่าธนาคารอาจจะมีศักยภาพที่ดีขึ้นในด้านการสร้างรายได้หลังจากการควบรวมกิจการ แต่การปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้นอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน

เงินกองทุนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ: อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1 ratio) ของ TTB อยู่ที่ 14.4% ณ สิ้นปี 2564 และฟิทช์ไม่คาดว่าฐานะเงินกองทุนของธนาคารจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น ฐานะเงินกองทุนของธนาคารน่าจะได้รับแรงหนุนจากกำไรสะสม (internal capital generation) จากการปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปของรายได้ อย่างไรก็ตามฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน CET1 ของธนาคารจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าธนาคารอื่นที่มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า แต่ยังคงเหมาะสม ณ ระดับอันดับคะแนนปัจจุบัน และน่าจะช่วยรองรับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดได้ในระดับหนึ่ง

การระดมเงินทุนมีเสถียรภาพ สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี: อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของ TTB ที่ 103% ณ สิ้นปี 2564 อยู่ในระดับที่สูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่รายอื่น และค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 94% อัตราการเติบโตของเงินฝากของ TTB อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าธนาคารอื่นในช่วงปี 2563 และ 2564 เนื่องจากธนาคารมีนโยบายในการปรับปรุงต้นทุนทางการเงินหลังจากการควบรวมกิจการ แต่อย่างไรก็ตามฟิทช์ยังคงมองว่าโครงสร้างการระดมเงินทุนโดยรวมของธนาคารยังคงมีเสถียรภาพและมีปัจจัยสนับสนุนจากเครือข่ายธุรกิจในประเทศของธนาคาร นอกจากนี้อัตราส่วนของปริมาณสินทรัพย์สภาพคล่องต่อประมาณการกระแสเงินสดไหลออก (LCR ratio) ของธนาคารยังบ่งชี้ว่าธนาคารมีสภาพคล่องที่ค่อนข้างดี โดยมีอัตราส่วน LCR ที่ 172% ณ สิ้นปี 2564

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศ
การปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลจะส่งผลให้อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคารถูกปรับลดอันดับลงเช่นกัน และอันดับเครดิตภายในประเทศอาจต้องมีการทบทวนการพิจารณาในกรณีที่ฟิทช์อาจมองว่าโครงสร้างเครดิตของ TTB ปรับตัวด้อยลงเมื่อเทียบกับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ

อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล
ฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล หากรัฐบาลมีความสามารถที่จะให้การสนับสนุนแก่ธนาคารลดลง เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดได้จากการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย นอกจากนี้อาจมีผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตได้หากมีสัญญาณที่บ่งชี้ว่าโอกาสที่ TTB จะได้รับการสนับสนุนปรับตัวด้อยลง เช่นจากการปรับตัวลดลงของระดับความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ (เช่น การยกเลิกสถานะธนาคารที่มีความสำคัญเชิงระบบในประเทศ) หรือการเปลี่ยนแปลงในกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่มีนัยสำคัญ

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินอาจถูกปรับลดอันดับ หากอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของ TTB ปรับตัวแย่ลงกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งน่าจะเกิดจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาดการณ์และสถานะทางการตลาดของธนาคารไม่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อฐานะทางการเงินของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเช่นในกรณีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนสินเชื่อที่ด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมที่มากกว่า 6% และอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ต่ากว่า 100% (สิ้นปี 2564: 128%) และการปรับตัวลดลงของอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ต่ำกว่า 1.0% ในช่วง 2 ปีข้างหน้าหรือมากกว่า นอกจากนี้การที่ธนาคารไม่สามารถรักษาระดับเงินกองทุนให้อยู่ในระดับเพียงพอกับความเสี่ยงที่เพี่มขึ้น ซึ่งอาจบ่งชี้ได้จากอัตราส่วนเงินกองทุน CET1 ที่ต่ากว่า 13.0% อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่ออันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศ
อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคารอาจได้รับการปรับเพิ่มอันดับ หากอันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลได้รับการปรับเพิ่มอันดับ และการปรับเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศจะพิจารณาเปรียบเทียบกับธนาคารและบริษัทอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วย

อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล
การที่รัฐบาลมีความสามารถในการให้การสนับสนุนแก่ TTB ในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนได้จากการปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย อาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลได้รับการเพิ่มอันดับ แต่สมมติฐานของฟิทช์ในด้านโอกาสในการให้การสนับสนุนธนาคารต้องไม่มีการปรับตัวลดลง หากอันดับเครดิตของประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของ TTB ก็ไม่น่าที่จะเกิดขึ้น

อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน
อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินอาจถูกปรับเพิ่มอันดับ หากเครือข่ายธุรกิจในประเทศของ TTB ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นและมีโครงสร้างธุรกิจที่ดีขึ้น และปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความแข็งแกร่งทางการเงินโดยรวมของธนาคารปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับธนาคารในประเทศรายอื่นที่มีอันดับเครดิตสูงกว่า

ตัวอย่างเช่นในกรณีที่ธนาคารสามารถรักษาอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมให้ต่ำกว่า 2.7% อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงกว่า 1.5% และอัตราส่วนเงินกองทุน CET1 ที่สูงกว่า 15.0% โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสาคัญของระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของธนาคาร แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าเกิดขึ้นในระยะสั้นเนื่องจากยังคงมีความท้าทายในด้านสภาพแวดล้อมการดำเนิน

อันดับเครดิตหุ้นกู้
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ TTB ได้รับการจัดอันดับเครดิตให้อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวนับเป็นภาระผูกพันที่ไม่ด้อยสิทธิของธนาคาร

หุ้นกู้ด้อยสิทธิ
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินบาทที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์บาเซล 3 ของ TTB อยู่ต่ำกว่าอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินในกรณีที่เป็นอันดับเครดิตภายในประเทศ (implied national VR) และเป็นอันดับเครดิตอ้างอิงของหุ้นกู้ด้อยสิทธิอยู่ 2 อันดับ ซึ่งสอดคล้องกับกรณีพื้นฐานตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีโอกาสที่จะได้รับชำระหนี้คืน (recovery rate) ในอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกัน สำหรับเหตุการณ์ที่จะทำให้เกิดผลการดำเนินงานที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ (non-viability trigger) คือเมื่อธนาคารกลางหรือทางการตัดสินใจเข้าให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่ธนาคาร หุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวไม่ได้ถูกปรับลดอันดับเพิ่มเติมเพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้ถือหุ้นกู้จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดการณ์ (non-performance risk) เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติรองรับผลขาดทุนระหว่างการดำเนินกิจการ (going-concern loss absorption) เช่น สิทธิในการยกเว้นหรือการเลื่อนจ่ายดอกเบี้ย
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบหรือส่งผลให้เกิดการปรับลดอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ TTB น่าจะส่งผลให้อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิถูกปรับลดอันดับลงเช่นกัน

อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินบาทที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์บาเซล 3 จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับโครงสร้างเครดิตเฉพาะของ TTB ซึ่งสะท้อนได้จากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร ดังนั้นการปรับลดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของ TTB จะส่งผลให้อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิถูกปรับลดอันดับลงเช่นกัน แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับสถาบันการเงินอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วย

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบเชิงบวกหรือส่งผลให้เกิดการปรับเพิ่มอันดับเครดิต (ปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยรวมกัน)
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของ TTB น่าจะส่งผลให้อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิได้รับการปรับเพิ่มอันดับเช่นกัน

การปรับตัวดีขึ้นของโครงสร้างเครดิตเฉพาะของ TTB น่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่ออันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ตัวอย่างเช่น การปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร อาจจะส่งผลให้เกิดการทบทวนอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิในเชิงบวก แต่ทั้งนี้ฟิทช์จะต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับสถาบันสถาบันการเงินอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตภายในประเทศด้วย
การปรับอันดับคะแนนของปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน
อันดับคะแนนด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่ 'bbb' สูงกว่าคะแนนตามเกณฑ์มาตรฐานที่ 'bb' เนื่องจากการปรับเพิ่มคะแนนจากปัจจัยด้านอันดับเครดิตของประเทศ

อันดับเครดิตที่มีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตอื่น
อันดับเครดิตสากล อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ TTB มีความเชื่อมโยงกับอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย

การพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ระดับคะแนนที่สูงที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ของ ESG ต่ออันดับเครดิต (หากมีการเปิดเผย) แสดงว่าระดับคะแนนจะอยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งหมายความว่าปัจจัยด้าน ESG จะไม่ส่งผลกระทบหรืออาจมีผลกระทบในระดับที่น้อยมากต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยจากลักษณะของธุรกิจหรือจากการบริหารจัดการของธนาคารก็ตามสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมหาได้จาก www.fitchratings.com/esg

รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังต่อไปนี้:

  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวคงอันดับที่ 'BBB' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นคงอันดับที่ 'F2'
  • อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ ยกเลิกอันดับเครดิต
  • อันดับเครดิตสนับสนุน ยกเลิกอันดับเครดิต
  • อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาลที่ 'bbb'
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวคงอันดับที่ 'AA+(tha)'; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นคงอันดับเครดิตที่ 'F1+(tha)'
  • อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันคงอันดับที่ 'BBB'
  • อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินบาทที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามเกณฑ์บาเซล 3 คงอันดับที่ 'A(tha)'

ที่มา: ฟิทช์ เรทติ้งส์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ