นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ (ประเทศไทย) หรือ MST กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงาน ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 281.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.87 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.76 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 276.73 ล้านบาท บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้ รายได้ค่านายหน้าของบริษัทฯลดลง 118.63 ล้านบาท จาก 686.32 ล้านบาท เป็น 567.69 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 17.28 เนื่องจาก รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 119.76 ล้านบาท จาก 646.25 ล้านบาท เหลือ 526.49 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ18.53 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 96,950.96 ล้านบาท/วัน เหลือ 96,239.56 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 0.73 และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทลดลงจากร้อยละ 47.33 เหลือร้อยละ 41.52 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลลดลงจาก 45,882.65 ล้านบาท/วัน เหลือ 39,960.39 ล้านบาท/วัน หรือลดลงร้อยละ 12.91และรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 1.13 ล้านบาท จาก 40.07 ล้านบาท เป็น 41.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.82
ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 2.85 ล้านบาท จาก 41.89 ล้านบาท เหลือ 39.04 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 6.81 เนื่องมาจาก ค่าที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 9.54 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นลดลง 5.89 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 5.90 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมการขายและการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 6.68 ล้านบาท โดยที่รายได้อื่นเพิ่มขึ้น 112.16 ล้านบาท จาก 220.07 ล้านบาท เป็น 332.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.97 เนื่องมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 37.35 ล้านบาท กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 46.82 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 27.99 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมลดลง 15.03 ล้านบาท จาก 601.96 ล้านบาท เหลือ 586.93 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 2.50 เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานลดลง 19.96 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายลดลง 12.55 ล้านบาท และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 0.83 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 11.88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น 6.43 ล้านบาท ด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 0.85 ล้านบาท จาก 69.59 ล้านบาท เป็น 70.44 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.22 เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.76
"สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ งวดไตรมาสแรกของปี 2565 บริษัทฯ สามารถสร้างผลงานได้ดี แม้ภาวะตลาดจะมีความผันผวนและเกิดความไม่แน่นอนในสถานการณ์ทั่วโลก ผลงานที่โดดเด่นของเราเป็นผลสะท้อนจากฐานลูกค้าทีuแข็งแกร่ง ทีมงานด้านแนะนำการลงทุนที่โดดเด่น และการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากผลการดำเนินงานแล้ว เรายังมุ่งมั่นเดินหน้าขยายธุรกิจด้วยความพร้อมในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์การลงทุนและบริการที่หลากหลาย เป้าหมายหลักในการกระจายการลงทุนไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึงกำลังจะบรรลุผลด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Maybank Invest ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ทำให้การลงทุนสามารถเข้าใจได้ง่าย และเข้าถึงได้สำหรับทุกคนอันเป็นบทบาทสำคัญของเรา" นายอารภัฏ กล่าวเพิ่มเติม
ที่มา: บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)