นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ครั้งที่สามของปีนี้ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่มี Positive Surprise หรือ เซอร์ไพร์สเชิงบวกเล็ก ๆ ตรงที่คณะกรรมการ FED มีมติปรับลดวงเงินการถอนสภาพคล่อง หรือ QT โดยมีผลในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ในวงเงินที่ลดลงเหลือเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมที่คาดว่าจะลดครั้งละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ขณะที่การตอบคำถามสื่อของ Jerome Powell ประธาน FED เปิดเผยว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียว 0.75% แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.5% อีกสองครั้ง โดยหลังจบการแถลง ดัชนี DXY หรือ Dollar Index มีการอ่อนตัวลง บ่งบอกว่าที่ผ่านมาตลาดคาดหวังว่าจะเกิดนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากกว่านี้ เมื่อไม่เป็นไปตามคาดจึงเกิดแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับไปที่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
"ถ้าจะสรุปผลการประชุม FED ในรอบนี้ ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้เกือบทั้งหมด อาจจะมี Positive Surprise เล็ก ๆ จากวงเงิน QT ที่ออกมาน้อยกว่าที่เคยมีการคาดการณ์และการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามตลาดกลับมาบวกได้ค่อนข้างแรง รวมถึงบิทคอยน์และทองคำที่ฟื้นตัว ทำให้มองได้ว่าการปรับฐานลงของตลาดก่อนหน้านี้ ได้ Price In ไปกับผลการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว ถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่เกิดขึ้นก็อาจเป็นไปได้ว่าเราน่าจะได้เห็นการฟื้นตัวของตลาดหลังจากนี้"
นายณพวีร์ กล่าวว่า มองทิศทางการลงทุนหลังจากนี้ ต้องติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเมษายนว่าจะเพิ่ม หรือ ลดลง เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ที่ 8.4% ถ้าหากตัวเลขออกมาไม่เพิ่มไปกว่านี้มาก ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อจากการที่ FED คลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรง ซึ่งมีโอกาสสูงที่เงินเฟ้อเดือนมีนาคมอาจจะเป็นระดับสูงสุดแล้ว เพราะในเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ราคาน้ำมันดิบไม่ได้พุ่งแรงมากเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ที่มีปัจจัยกดดันจากสงครามรัสเซียและยูเครนเข้ามาสมทบ
"แม้เงินเฟ้ออาจจะไม่พุ่งแรงจนถึงขั้นแตะระดับเลขสองหลัก แต่ราคาพลังงานถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการคว่ำบาตรรัสเซียจากสหภาพยุโรป ทำให้เงินเฟ้อน่าจะยังประคองตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป แต่ไม่น่าจะกดดัน FED ให้ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่านี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าตลาดจะไม่มีการพักฐานแรงอีก"
สำหรับสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ "ทองคำ" อาจจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากราคาก่อนหน้านี้สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ 1,858 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ และหลังการประชุม FED มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาทดสอบระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน "บิทคอยน์" ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีการทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ดังนั้นคาดว่าน่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากนี้ โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ทางด้าน ตลาดหุ้น มองว่าดัชนี S&P500 และ Dow Jones มีความน่าสนใจกว่า NASDAQ ตรงที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เริ่มมีประเด็นเรื่องของผลประกอบการรายบริษัทที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด อย่าง Netflix และ Amazon ขณะที่หุ้นกลุ่มแวลูน่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเริ่มอ่อนแรงและและหลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว
ขณะที่ ตลาดหุ้นจีน ยังมีประเด็นเรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจนต้องมีการปิดเมืองใหญ่หลายแห่งทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจในประเทศอาจชะลอตัวลง ถ้าหากยังไม่มีการประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลน่าจะยังไม่เห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น อีกทั้งหุ้นเทคโนโลยีจีนยังคงมีแรงกดดันจากนโยบายภาครัฐ ซึ่งมองในภาพรวมแล้วตลาดหุ้นจีนยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในระยะสั้น แต่ถ้ามีปัจจัยบวกเข้ามาจะเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว
"ส่วนตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจตรงที่นโยบายเปิดประเทศทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ SET Index ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น โดยสามารถทยอยสะสมหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่ในช่วงไตรมาสสองนี้ เพื่อรอตลาดฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง และอีกหนึ่งตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ปรับตัวลงมาประมาณ 10% จากจุดสูงสุด ยังมองเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น ถ้ากลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ ยังเป็นโอกาสเข้าลงทุน"
ที่มา: เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง