ทิสโก้แนะฉวยจังหวะหุ้นร่วงทั่วโลก ซื้อกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต - นวัตกรรมการแพทย์

พุธ ๑๑ พฤษภาคม ๒๐๒๒ ๐๙:๐๐
ธนาคารทิสโก้ชี้หุ้นทั่วโลกมีโอกาสร่วงต่อ จากแรงกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แนะนักลงทุนอย่าเพิ่งถอดใจ ชี้เป็นโอกาสทองซื้อหุ้นเมกะเทรนด์กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนวัตกรรมการแพทย์ คาดโตเด่น 15 - 27% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอ ดอกเบี้ยขาขึ้น
ทิสโก้แนะฉวยจังหวะหุ้นร่วงทั่วโลก ซื้อกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต - นวัตกรรมการแพทย์

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การลงทุนในปัจจุบันอาจเรียกได้ว่าอยู่ในช่วง 'ฝุ่นตลบ' เพราะตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงตามความกังวลเรื่องเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว และมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกดดันหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) ด้านธนาคารกลางสำคัญทั่วโลกก็เริ่มใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวดทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและลดขนาดงบดุล (QT) เพื่อบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ล่าสุดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 0.75 - 1.00% ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นในอัตรามากสุดนับตั้งแต่ปี 2543 เพราะมีแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปีมาอยู่ในระดับ 8.5%

นอกจากนี้ ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ยังเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่ทำให้หุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลงต่อ โดยข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่า ณ สิ้นปี 2565 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed จะอยู่ที่ 2.75% และกลางปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 3.3% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงเช่นนี้ ตามสถิติพบว่า ตลาดหุ้นมักตอบรับในเชิงลบอย่างเช่นในปี 2511 ปี 2516 ปี 2523 และ ปี 2527 ที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2% ในช่วง 6 เดือน ทำให้ดัชนี S&P 500 เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงการขึ้นดอกเบี้ย

นายณัฐกฤติกล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ธนาคารทิสโก้มองว่า นักลงทุนไม่ควรถอดใจหรือชะลอการลงทุน เพราะนี่เป็น 'โอกาสสำคัญ' ที่นักลงทุนจะเข้าทยอยสะสมหุ้นที่มีโอกาสเติบโตแต่ราคาปรับตัวลงมา อย่างกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ ซึ่งผลประกอบการมักจะไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ และยังมีโอกาสการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่น กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต ธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ เป็นต้น

โดยกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตไปกับการดำเนินชีวิตของคนที่พึ่งพาเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายและภาคธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจ ซึ่งถ้ามองผ่านวิกฤตต่างๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555 - 2565) จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นสูงถึง 18.56% ต่อปี (วัดจากดัชนี MSCI World Information Technology Index) และด้วยผลตอบแทนในระดับนี้จะทำให้เงินลงทุนมีโอกาสเติบโตเป็น 2 เท่า ใน 4 - 5 ปีข้างหน้า โดยธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่แนะนำ ได้แก่ Metaverse , Cloud Computing และ Cyber Security โดยคาดว่าทั้งสามธุรกิจมีโอกาสเติบโตเฉลี่ยสูงถึงราว 26% , 15.7% และ 13.7% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ที่มา: PWC , Research and Markets)

สำหรับความกังวลเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกดดันหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้น ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นมารับความกังวลเรื่องขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวของ Fed ไปอยู่ที่ 3.2% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับใกล้ถึงจุดสูงสุดที่นักลงทุนคาดว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะไปสูงสุดอยู่ที่ 3.25% ทำให้แรงกดดันหุ้นกลุ่มเติบโตอาจไม่ได้มีมากไปกว่านี้

ด้านกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเติบโตไปกับการเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ของโลก ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเติบโตตามไปด้วย และยังมีอำนาจต่อรองสูงในการกำหนดราคาของค่ารักษาด้วย เหตุนี้เองจึงทำให้ธุรกิจธุรกิจด้าน Health Care ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555 - 2565) ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 13.85% ต่อปี โดยธุรกิจ Health Care ที่กำลังเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็คือกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ ไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) และ ดิจิทัลเฮลธ์แคร์ (Digital Healthcare) ระบุว่าทั้งสองธุรกิจมีโอกาสเติบโต 12.2% และ 27.7% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ที่มา : statista , Grand View Research)

"ข้อมูลจาก StartUp Health Insight พบว่า ในปี 2564 แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในช่วงซบเซา แต่กลับพบว่าเป็นปีทองของเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยมีการทุ่มงบประมาณไปเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางแพทย์ด้วยเม็ดเงินสูงถึง 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นกว่า 20 เท่าหากเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อีกทั้ง ในแง่ของการใช้จ่ายเพื่อเข้าถึงบริการด้านเฮลธ์แคร์ พบว่า ศูนย์บริการเมดิแคร์และเมดิเคด (Centers for Medicare & Medicaid Services) ของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าสัดส่วนการใช้จ่ายทางด้านเฮลธ์แคร์ของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 19.6% ของ GDP ไปจนถึงปี 2573 และคาดว่าในปี 2571 การใช้จ่ายทางด้านเฮลธ์แคร์จะมีมูลค่าสูงถึง 6.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าแม้สถานการณ์รอบด้านจะเลวร้ายเพียงใดก็ไม่ได้ทำให้ความสำคัญของกลุ่มเฮลธ์แคร์ลดลง และคาดว่าในอนาคตกลุ่มเฮลธ์แคร์จะยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งอีกด้วย" นายณัฐกฤติกล่าว

ที่มา: ธนาคารทิสโก้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๓ LE โชว์ผลงาน Q3/67 กำไรทะยาน 312% รายได้อยู่ที่ 720 ลบ. ส่งซิก Q4 โตต่อเนื่อง ล่าสุดกอด Backlog แน่น 1,300
๑๗:๕๐ แม็คโคร พัทยา ปรับโฉมใหม่ รองรับกำลังซื้อช่วงไฮซีซั่น พร้อมจัดแคมเปญขอบคุณลูกค้าส่งท้ายปี ส่งมอบความคุ้มค่าทั่วเมืองพัทยา
๑๗:๒๑ ยันม่าร์ โชว์นวัตกรรมการเกษตร ในงานประชุมใหญ่ชาวไร่อ้อยสามัญประจำปี พร้อมฉลองครบรอบ 45 ปี สนับสนุนเงินดาวน์แทรกเตอร์ถึง 3
๑๗:๕๒ CHAYO งบ Q3/67 สุดปังทั้งรายได้และกำไร งวด 9 เดือนรายได้พุ่ง 38.85% มั่นใจรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20%
๑๗:๔๘ TNP เข้ารับเกียรติบัตร CAC ในฐานะบริษัทฯ ที่ได้รับการต่ออายุรับรองครั้งที่ 2 มุ่งมั่นเป็นองค์กรที่ร่วมต่อต้านคอร์รัปชันในภาคเอกชนไทย
๑๗:๕๙ คริสตัล โฮม ร่วมกับ AXOR จัดเวิร์กชอป The Power of Colors เผยเคล็ดลับดีไซน์ห้องน้ำหรูด้วยสีสันที่โดดเด่น
๑๗:๓๕ ทีเอ็มบีธนชาต ชวนซื้อสลากกาชาดทีทีบี ได้บุญ พร้อมลุ้นโชค 716 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 7 ล้านบาท ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ การให้ บำรุงสภากาชาดไทย
๑๗:๒๕ PRTR ประกาศงบ Q3/67 กำไรนิวไฮอีกครั้ง โตกว่า 14% ธุรกิจ Outsource ดาวเด่น คาด Q4/67 ดีมานด์พุ่ง
๑๗:๔๔ PLUS ส่ง Coco Royal ลุยช่องทางการขายชั้นนำในจีน ดันยอดขายพุ่ง รับออเดอร์ลูกค้ารายใหญ่ พร้อมเดินหน้าเต็มกำลังการผลิต
๑๗:๓๘ PRAPAT ฟอร์มแกร่ง! กวาดกำไร Q3/67 โต 77% แตะ 17.49 ล้านบาท รับปัจจัยหนุนจากรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านครัว