นายทรงศักดิ์ ปิยะวรรณรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ STECH เปิดเผยว่าผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 483.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.04 ล้านบาท หรือ 22.87% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 393.78 ล้านบาท จากการส่งมอบงานในปริมาณที่สูงเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดสั่งซื้อที่มีอยู่ในมือ และมีรายได้รวมอยู่ที่ 510.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116.90 ล้านบาท หรือ 29.69% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 393.78 ล้านบาท เนื่องจากในงวดไตรมาส 1 ปีนี้ มีการรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างโครงการเข้ามาเพิ่มเติม
โดยมีรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างจำนวน 26.86 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้ลงนามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสายส่งระบบ 115 kV เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2564 เป็นงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สถานีไฟฟ้าสกลนคร 2 จังหวัดสกลนคร-สถานำฟฟ้าศรีสงคราม จังหวักนครพนม มูลค่างาน 97.97 ล้านบาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยเริ่มรับรู้รายได้ในเดือนธ.ค.2564 มีระยะเวลาการทำงาน 1 ปี
ขณะที่มีกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1/2565 จำนวน 22.96 ล้านบาท ลดลง 9.93 ล้านบาท หรือ 30.19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 32.89 ล้านบาท สาเหตุหลักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุดิบ เช่น ลวดเหล็กที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้น และการแข่งขันทางด้านราคาที่สูงจากคู่แข่ง
บริษัทฯ ประเมินปี 2565 คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% รับภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัว โครงการเมกะโปรเจกต์ภาครัฐบาลและงานภาคเอกชนเดินหน้าเปิดประมูลด้วยเม็ดเงินลงทุนมูลค่ามหาศาล เป็นโอกาสให้ STECH รับโอกาสการเติบโตในครั้งนี้ จากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ราว 1,800 ล้านบาท และมีโรงงานคอนกรีตอัดแรง 10 สาขา จากปีก่อนมี 9 สาขาครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ โดยโรงงานเพิ่มขึ้น 1 แห่งที่ชลบุรี สาขา 2 พร้อมลุยรับงานโซนภาคตะวันออก
ภาพรวมธุรกิจหลังรัฐบาลเปิดประเทศ เชื่อว่าจะเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากธุรกิจของ STECH อิงกับระบบสาธารณูปโภค เชื่อว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกของบริษัทฯ ที่ดีให้กลับมาคึกคักได้เหมือนเคย โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อ STECH
"ปัจจุบันงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ตอนนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายเริ่มเห็นสัญญาณบวก ประกอบกับโรงงานของบริษัทฯ ยังคงสามารถเดินหน้าผลิตสินค้า พร้อมทยอยส่งมอบ สนับสนุน STECH ในปี 2565 คาดจะเติบโตจากปีก่อนได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างติดตามงานโครงการใหม่อีกกว่า 330 ล้านบาท สะท้อนภาพรวมงานโครงการขนาดใหญ่เริ่มเดินหน้า โดยเฉพาะเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ ซึ่งบริษัทฯ ได้ปัจจัยบวกจากโรงงานที่มีอยู่ 10 แห่ง กระจายอยู่เกือบทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย" นายทรงศักดิ์ กล่าว
ที่มา: ไออาร์ พลัส