ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยและตอบสนองความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเหตุผลดังกล่าวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจบริการรับส่งอาหารเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคำสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มเรียกรับส่งอาหาร (Food Delivery Platform) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ธุรกิจบริการรับส่งอาหารมีการแข่งขันที่สูงมาก เพราะมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเรียกรับส่งอาหารต้องการเข้ามาชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ให้บริการจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ต้นทุนการใช้แพลตฟอร์มสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารอยู่ในระดับที่สูง จึงเป็นความได้เปรียบสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีเงินทุนมากกว่า ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) มีส่วนต่างกำไรไม่มาก ทำให้บางรายส่งต่อต้นทุนไปสู่ผู้บริโภค ดังนั้นเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกระดับสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ดีป้า จึงได้ร่วมกับ บริษัท ฟู้ด ออเดอรี่ จำกัด ดำเนินโครงการ National Delivery Platform โดยการพัฒนา eatsHUB แพลตฟอร์มเรียกรับส่งอาหารสัญชาติไทย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร พนักงานรับส่งอาหาร (ไรเดอร์) รวมถึงผู้สนใจเป็นพนักงานรับส่งอาหาร และตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน
"จุดเด่นของ eatsHUB คือการเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้ (GP) จากร้านค้าสมาชิกประมาณ 8-10% ต่ำกว่าอัตราการเรียกเก็บ 30% ของแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้ร้านค้าสมาชิกมีต้นทุนในอัตราที่แข่งขันได้สามารถนำเงินทุนมาต่อยอดเพื่อเพิ่มยอดขาย ขณะที่ผู้บริโภคจะได้รับอาหารในราคาที่ใกล้เคียงกับการซื้อจากหน้าร้าน โดยประมาณการณ์ว่าจะมีประชาชนลงทะเบียนเข้าใช้แพลตฟอร์ม eatsHUB กว่า 500,000 รายทั่วประเทศ มียอดการเข้าใช้งานมากกว่า 5,000,000 ครั้ง ช่วยสร้างอาชีพพนักงานรับส่งอาหารกว่า 2,000 ราย และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 500 ล้านบาทในปีแรกของการเปิดให้บริการ" ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ด้าน นายธรรมนิตย์ ขำวังยาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟู้ด ออเดอรี่ กล่าวว่า eatsHUB พร้อมให้บริการนำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯ 4 เขต ประกอบด้วย บางเขน จตุจักร ลาดพร้าว และสวนหลวง และจะขยายพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลภายในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ จากนั้นจะเริ่มขยายพื้นที่ให้บริการไปในต่างจังหวัด โดยในปีแรก eatsHUB จะสามารถให้บริการได้ครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ 18 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก นครศรีธรรมราช เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และนครพนม โดยในช่วงเปิดตัวจะมีร้านค้าเข้าร่วมให้บริการในแพลตฟอร์มมากกว่า 20,000 ร้าน
นายธรรมนิตย์ กล่าวต่อว่า จุดเด่นของ eatsHUB ที่จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหาร ประกอบด้วย
- การเรียกเก็บค่า GP ที่ต่ำ หรือประมาณ 8-10% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าแพลตฟอร์มทั่วไป
- ร้านค้าที่เข้าร่วมจะได้รับเงินโอนค่าสินค้าในวันถัดไป โดยไม่มีขั้นต่ำ
- มีระบบโปรโมชัน ช่วยส่งเสริมการขายที่วิเคราะห์จาก Big Data ข้อมูลสมาชิก
- เป็นแพลตฟอร์มที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน จึงมีความน่าเชื่อถือและ
สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้บริการได้อย่างตรงจุด - ควบคุมมาตรฐานการให้บริการของร้านค้าสมาชิก ให้จำหน่ายสินค้าอย่างเป็นธรรมในปริมาณที่ไม่
แตกต่างจากการรับประทานที่หน้าร้าน
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้สนใจที่จะร่วมเป็นพนักงานรับส่งอาหาร สามารถศึกษาข้อมูล และรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมสมัครเป็นสมาชิกได้ตั้งแต่วันนี้ผ่านทางเว็บไซต์ www.foodordery.co.th ส่วนประชาชนทั่วไปสามารถดาวน์โหลด eatsHUB #แอปพลิเคชันไทยเพื่อคนไทย ทั้งในระบบ android และ iOS เพื่อพบความแตกต่างอย่างคุ้มค่า #อิ่มเต็มคำได้ทุกวัน ได้แล้ววันนี้
ที่มา: สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล