นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565) มีรายได้หลัก 6,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,521 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 4,655 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท หรือ 31.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 441 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ที่ 438 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลประกอบการมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการรับรู้ผลประกอบการของการลงทุนที่เวียดนาม หลังการเข้าลงทุนแล้วส่งผลทำให้เกิดการรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบ การแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคในการพัฒนาและปรับปรุง กระบวนการผลิตให้มีต้นทุนที่ลดลงและมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการลดอัตราการสูญเสียในกระบวนการผลิต (Scrap rate) ประกอบกับยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นจากโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและกำหนดการ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ด้วยกลยุทธ์การมุ่งเน้นกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง (High margin product) โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ (Medium - Extra High Voltage) เพื่อรองรับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชนที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนนโยบายในการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ ยังส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 31.9% อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมามีราคาวัตถุดิบหลักมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากบริษัทฯ มีนโยบายการบริหารแบบ Pass-through หรือ Cost-plus strategy ซึ่งคำสั่งซื้อส่วนใหญ่จะมีการกำหนดราคาวัตถุดิบและจำนวนที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นตามนโยบายการจัดซื้อของบริษัทฯ ที่ไม่ให้มีการเก็งกำไรจากราคาวัตถุดิบ อีกทั้งบริษัทฯ ดำเนินการลงบัญชีอย่างรอบคอบและระมัดระวัง ดังนั้น สินค้าคงเหลือและวัตถุดิบจะแสดงมูลค่าตามราคาทุนเท่านั้น ไม่มีการปรับมูลค่าตามราคาตลาด
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวอีกว่าแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนการขยายฐานรายได้เข้าสู่ธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงชุดสายไฟตามเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยต้องมีสายไฟเป็นตัวเชื่อมระหว่าง EV และอื่นๆ อาทิเช่น Charging station ในสถานีบริการน้ำมัน , Charging box ในบ้าน , อาคาร , สำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อรองรับขนาดกำลังไฟฟ้า และปริมาณการใช้ไฟที่มากขึ้น
ที่มา: ไออาร์ เน็ตเวิร์ค