นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารทิสโก้แนะนำหุ้นเมกะเทรนด์กลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต และนวัตกรรมการแพทย์ ที่คาดว่ามีโอกาสเติบโต 15 - 27% ต่อปี ในช่วง 5 ปีข้างหน้า* ช่วยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอและดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ยังพบว่ามีนักลงทุนหลายท่านต้องการการลงทุนในรายประเทศ และส่วนใหญ่ยังคงมี 'หุ้นยุโรป' อยู่ในพอร์ตการลงทุน ขณะที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ 'ขาย' หุ้นยุโรปมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะประเมินว่ายุโรปมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเร็วกว่าภูมิภาคอื่น
โดยปัจจัยที่ทำให้ธนาคารทิสโก้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากกว่าภูมิภาคอื่น มาจาก 3 ปัจจัย คือ 1. ปัญหาการคว่ำบาตรด้านพลังงานโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ทำให้ภาคการผลิตหยุดชะงัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก ทำให้เกิดปัญหาสินค้าขาดแคลน (Supply Shortage) ซึ่งกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะยาว 2. ตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่หดตัวท่ามกลางราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ตามอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมที่เพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ระดับดังกล่าวถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
และ 3. การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยในวันที่ 9 มิถุนายนนี้คาดการณ์ว่า ECB จะออกประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อใหม่ และอาจประกาศยุติการทำ QE เปิดทางไปสู่การขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่า ECB จะปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม กันยายน และธันวาคม ทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นไปอยู่ที่ 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ -0.50%
ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการโฟกัสการลงทุนไปยังรายประเทศ ธนาคารทิสโก้มองว่า ตลาดหุ้นจีน คือดาวเด่นของการลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากมองว่าราคาน่าจะลงมาใกล้จุดต่ำสุด เพราะรับรู้ประเด็นลบจากปัจจัยกดดันทั้งจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศไปหมดแล้ว อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายจากทางการจีนมากขึ้น เช่น การคลาย Lockdown เมืองเซี่ยงไฮ้ที่ปลดล็อกอย่างเต็มรูปแบบ และการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศและผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้เศรษฐกิจจีนโตในระดับ 5.5% ในปี 2565
นอกจากนี้ ธนาคารทิสโก้จึงมองว่า ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้น 'เมกะเทรนด์ของจีน' ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว หลังจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ย้อนหลัง 1 ปี ปรับตัวลงมาราว 40% และยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568 โดยมี 4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว ดังนี้
- กลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumption) เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากพลังการบริโภคของประชากรจีนที่มีจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ตั้งเป้าจะยกระดับการบริโภคในประเทศให้ขยายตัวขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่ารายได้ภาคครัวเรือนของคนจีนจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าตัวภายในปี 2573 จากระดับปัจจุบันที่ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปเป็น 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้รายได้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าในจีนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
- กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) เป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่สำคัญของจีนที่รัฐบาลต้องการพัฒนาสินค้า โดยปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากอัตราการเข้าถึงและใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชากรจีนเพื่อกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นกว่า 1,000 ล้านคน หรือ คิดเป็น 67% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และในอนาคตรัฐบาลจีนยังคงวางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้ง 5G, AI, Internet of Things, Semiconductors และ Smart Cities ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
- กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่ได้ประโยชน์จากลักษณะโครงสร้างประชากรของประเทศที่กำลังมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจีนกำลังจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ภายในปี 2568 ซึ่งรัฐบาลจีนยังได้มีแผนการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม Healthcare ผ่าน 'Healthy China 2030 Plan' ด้วยการพัฒนาคุณภาพยาร่วมกับต่างชาติ เพิ่มความคล่องตัวในการอนุมัติยาตัวใหม่ เพิ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอุตสาหกรรม Healthcare โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17.7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงแค่ราว 4.5% ต่อปี
- กลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Technology) รัฐบาลจีนจึงได้ตั้งเป้าว่า จีนจะต้องเป็นประเทศที่ 'ปลอดคาร์บอน' ให้ได้ภายในปี 2603 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ สถานีชาร์จและรถยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบันจีนถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถทำยอดขายรถยนต์ EVs ได้สูงถึง 1.24 ล้านคันในปี 2564 ที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังสามารถเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 12 ล้านคันได้ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 25% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังเติบโตได้อีกไกล
ที่มา: ธนาคารทิสโก้