ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนพฤษภาคม 2565 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (สิงหาคม 2565) อยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" (ช่วงค่าดัชนี 80-119) ลดลง 12.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 83.91
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคล และ กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ "ทรงตัว" ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ "ซบเซา
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยว
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED
"ผลสำรวจ ณ เดือนพฤษภาคม 2565 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 7.1% อยู่ที่ระดับ 105.32 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ทรงตัว อยู่ที่ระดับ 75.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 2.8% อยู่ที่ระดับ 82.61 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 40.0% มาอยู่ที่ระดับ 60.00
ในช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคม 2565 SET Index ปรับตัวลดลงตามตลาดโลก จากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่ช้ากว่าคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเดือนหลัง ตลาดทุนไทยปรับตัวได้ดีขึ้น จากการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่ออกมาดีกว่าคาด ความคาดหวังต่อการฟื้นตัวต่อภาคท่องเที่ยวหลังรัฐบาลผ่อนคลายนโยบาย และนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤษภาคม มีมูลค่าซื้อสุทธิ 20,938 ล้านบาท และซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี 139,058 ล้านบาท ส่งผลให้ SET index ปิดที่ 1,663.41 จุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.2% จากเดือนก่อนหน้า
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ วิกฤติการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ (Geopolitical Crisis) รวมถึงสถานการณ์รัสเซีย—ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ วิกฤติพลังงานซึ่งส่งผลกระทบให้เงินเฟ้อสูงในหลายประเทศ วิกฤติการขาดแคลนอาหารโลก แนวทางการรับมือกับเงินเฟ้อของ FED รวมถึงติดตามนโยบาย Zero-Covid ของรัฐบาลจีนซึ่งกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอย่างมาก ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แนวโน้มนโยบายการเงินของ ธปท. ที่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น มาตรการของภาครัฐในการบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายนนี้"
ที่มา: สภาธุรกิจตลาดทุนไทย