นางสาวจริยา ถ้ำตรงกิจกุล หัวหน้าแผนกพื้นที่ค้าปลีก ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เผยว่า "ตลาดร้านสะดวกซื้อในประเทศไทยมีผู้ประกอบการ 2 รายที่ครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาดและยังคงขยายสาขาเพื่อเพิ่มความครอบคลุม" จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (OTCC) ในปี 2564 พบว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด และเป็นเจ้าของทั้ง 7-Eleven ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 73.60% และ Lotus's Go Fresh (เดิมคือ Tesco Lotus Express) ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 9.45% รองลงมา คือ กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นเจ้าของ FamilyMart และ Tops Daily ที่มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 4.79% ส่วนที่เหลืออีก 12.16% เป็นของผู้เล่นรายอื่น ๆ"
เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด ผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อพยายามที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการเสนอสินค้าเฉพาะอย่าง เช่น Lotus's Go Fresh ได้เพิ่มอาหารสดและอาหารพร้อมทานมาวางขายมากขึ้นจากเดิม 10% เมื่อเทียบกับสินค้าที่ขายขณะที่ยังเป็น Tesco Lotus Express เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งแม็คโครก็ยังได้ขยายสาขา Fresh@Makro ร้านสะดวกซื้อเกรดเอที่ให้บริการอาหารสดระดับพรีเมียมเพื่อดึงดูดลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน
"นอกจากนี้ ยังมีเรื่องขนาดร้านค้ามาตรฐาน ซึ่งที่ผ่านมาต้องมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่ในปัจจุบันกำลังขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ร้านค้าสามารถนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภคได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น สาขาขนาดใหญ่ขึ้นยังมีพื้นที่จอดรถที่กว้างและสะดวกสบายพร้อมจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น 7-Eleven มีแผนเร่งติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครบ 100 สาขาในอนาคตอันใกล้ บีทีเอส กรุ๊ป ผู้ประกอบการรายใหม่ล่าสุดในตลาดร้านสะดวกซื้อก็ได้เปิดตัวร้าน Turtle Shop ซึ่งถือเป็นร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟบนสถานีรถไฟฟ้าเซนต์หลุยส์ เพลินจิต และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ในพื้นที่ที่ลูกค้าชำระค่าเดินทางแล้ว) โดยร้านที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บนสถานีเซนต์หลุยส์นั้นมีขนาดมากกว่า 200 ตารางเมตร" นางสาวจริยา กล่าวเพิ่มเติม
แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ยังพบว่า แม้ว่าธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะยังคงเป็นโมเดลที่ไปได้ดีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในแง่ของความสะดวก แต่ร้านค้าจำพวกซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญเช่นกัน เนื่องจากสินค้าในร้านสะดวกซื้อมักมีราคาสูงกว่าและไม่จำหน่ายในจำนวนมาก ผู้ประกอบร้านสะดวกซื้อจึงควรเพิ่มความแตกต่างของสินค้าเพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น เพิ่มความหลากหลายของแบรนด์ เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยพิจารณาจากฐานลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่เป็นหลัก นอกจากนี้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ผู้ให้บริการร้านสะดวกซื้อควรที่จะทบทวนกลยุทธ์ตนเองใหม่ด้วยความรอบคอบ ไม่เพียงแต่ปรับเปลี่ยนประเภทของสินค้าและราคาเท่านั้น แต่ควรจัดหาบริการเสริมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต
ติดตามข่าวสารจากซีบีอาร์อีเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: CBRE Thailand
LINE: @cbrethailand and @cbreland
LinkedIn: CBRE Thailand
YouTube: CBRE Thailand
Twitter: CBRE Thailand
Spotify: CBRE Thailand
Instagram: CBRE Residential Thailand
ที่มา: ซีบีอาร์อี ประเทศไทย