แซดทีอี เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2564

จันทร์ ๒๐ มิถุนายน ๒๐๒๒ ๐๘:๐๐
เติมเต็มความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมสร้างความฉลาดทางดิจิทัลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
แซดทีอี เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2564

แซดทีอี คอร์ปอเรชัน (ZTE Corporation) (0763.HK / 000063.SZ) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันโทรคมนาคมและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมือถือสำหรับองค์กรและผู้บริโภค ได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2564 ทั่วโลก

รายงานแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่แซดทีอีได้วางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในฐานะ "ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล" บริษัทก็ได้เติมเต็มความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแข็งขันตลอดปี 2564 ด้วยการเดินหน้าพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านต่าง ๆ เช่น การกำกับดูแลการปฏิบัติงาน การจัดการการปฏิบัติตามข้อกำหนด การพัฒนาบุคลากรมากความสามารถ การส่งเสริมนวัตกรรม การเปิดกว้างและความโปร่งใส การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสนับสนุนชุมชน เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมโดยรวม

แซดทีอีเผยแพร่รายงานความยั่งยืนเป็นประจำทุกปีติดต่อกัน 14 ปี นับตั้งแต่ปี 2552

พัฒนานวัตกรรมอิสระและความฉลาดทางดิจิทัลเชิงอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง พร้อมเติมเต็มความรับผิดชอบต่อสังคม

ความไม่แน่นอนอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ที่ซับซ้อนทั่วโลก, การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ, ประชากรสูงวัยที่เพิ่มมากขึ้น และความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศในปี 2564 ได้ก่อให้เกิดความท้าทายมากขึ้นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งในกระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลและระบบอัจฉริยะโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่กำลังมีบทบาทสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการส่งเสริมการพัฒนาการทำงานทางไกล การทำงานร่วมกันทางออนไลน์ การเรียนรู้ทางไกล การแพทย์ทางไกล โรงงานอัจฉริยะ การทำเหมืองแบบไร้คนขับ และท่าเรืออัจฉริยะ

คุณสวี่ จื่อหยาง ประธานบริษัท แซดทีอี คอร์ปอเรชัน กล่าวว่า "การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบดิจิทัลและระบบอัจฉริยะทำให้สังคมของเรามี "ภูมิคุ้มกัน" ต่อความไม่แน่นอน ซึ่งช่วยรับประกันการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน ในฐานะผู้เล่นหลักและผู้สนับสนุนซึ่งอุทิศตนให้กับอุตสาหกรรมไอซีทีมานานถึง 37 ปี แซดทีอียังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมและความก้าวหน้ามากมาย และเต็มใจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเสมอ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงเดินหน้าขยายขีดความสามารถและธุรกิจในแง่ของเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะ อันนำมาซึ่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดในการใช้งานระบบดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ"

รายงานระบุว่า เพื่อให้เป็นไปตามการวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในฐานะ "ผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล" แซดทีอีจึงใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการพัฒนา และยึดมั่นในการสร้างเสริมสมรรถนะหลักขององค์กรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยบริษัทได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาระดับโลกที่ล้ำสมัยหลายแห่ง นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง แซดทีอีได้เดินหน้าลงทุนในภาคส่วนหลัก ๆ เช่น เทคโนโลยีไร้สาย 5G, เครือข่ายหลัก, เครือข่ายการขนส่ง, เครือข่ายการเข้าถึง และชิปเซ็ต โดยเม็ดเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของรายได้ของบริษัทมานานหลายปีแล้ว

นับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 แซดทีอีได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรทั่วโลกมากกว่า 84,000 ฉบับ และได้รับการอนุมัติแล้วกว่า 42,000 ฉบับ โดยในจำนวนนี้มีการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรชิปเซ็ตและได้รับสิทธิบัตรชิปเซ็ตจำนวน 4,572 ฉบับ และ 1,990 ฉบับตามลำดับ นอกจากนี้ รายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 โดยไอพีลิติกส์ (IPLytics) บริษัทข้อมูลสิทธิบัตรชั้นนำ ระบุว่า แซดทีอีอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกในการประกาศจำนวนสิทธิบัตรที่เป็นมาตรฐาน 5G (5G Standards-Essential Patents) ที่เปิดเผยต่อสถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมแห่งยุโรป (ETSI)

ในยุคของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางธุรกิจ แซดทีอีมุ่งมั่นที่จะบรรลุการเติบโตคุณภาพสูงร่วมกับอุตสาหกรรมการสื่อสาร อุตสาหกรรมแนวดิ่ง และสังคมโดยรวม ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เปิดกว้าง และโปร่งใส โดยแซดทีอีได้มีส่วนร่วมในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลและอัจฉริยะ ด้วยความมุ่งมั่นในการเร่งเปลี่ยนผ่านสังคมทั้งหมดไปสู่ระบบดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ

แซดทีอีมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งมากขึ้นในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง และได้นำเสนอโซลูชันตามสถานการณ์ที่สร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมแนวดิ่งอย่างแท้จริง โดยบริษัทได้สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกกว่า 500 ราย เพื่อสำรวจสถานการณ์การใช้งาน 5G เกือบ 100 รูปแบบ ทั้งสำหรับโรงงานในประเทศไทย ท่าเรือในเบลเยียม ฟาร์มในออสเตรีย รวมถึงภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง พลังงาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมแนวดิ่งอีกมากมายในประเทศจีน

ส่งเสริมการจัดการภายในและบรรลุการเติบโตคุณภาพสูง

ปี 2564 มีความสำคัญต่อระยะของการเติบโตภายใต้กลยุทธ์สามระยะของแซดทีอี โดยบริษัทยึดมั่นในความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีและบรรลุการเติบโตคุณภาพสูง พร้อมวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการก้าวไปสู่ระยะของการขยายธุรกิจ และมุ่งสู่เป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำ 500 อันดับแรกของโลก

คุณเซี่ย จวิ้นซือ รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของแซดทีอี กล่าวว่า "ภายใต้สถานการณ์ทั้งหลาย แซดทีอียังคงดำเนินงานด้วยความมั่นคง เนื่องจากเรามุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพสูง เราพยายามอย่างต่อเนื่องในการบูรณาการสามเสาหลักของเราเข้าด้วยกัน ได้แก่ การปฏิบัติตามข้อกำหนด การควบคุมภายใน และการส่งเสริมผู้มีความสามารถ"

แซดทีอียึดมั่นในการปฏิบัติตามข้อกำหนดและความสมบูรณ์ในการดำเนินงาน โดยได้รวมข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบไว้ในกระบวนการทางธุรกิจของบริษัท จึงสามารถสร้างระบบการจัดการการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ดีที่สุดและสอดคล้องกับแนวปฏิบัติทางธุรกิจของบริษัท ด้วยวิธีนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกับลูกค้า ซัพพลายเออร์ และพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลก

สำหรับการควบคุมภายในและการกำกับดูแลกิจการนั้น แซดทีอีใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสร้างระบบที่ค่อนข้างสมบูรณ์สำหรับการจัดการความเสี่ยงและการควบคุมภายใน รวมทั้งปรับปรุงระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) อย่างสม่ำเสมอ และด้วยความพยายามเหล่านี้ บริษัทจึงสามารถยกระดับความต่อเนื่องในการดำเนินงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพการหมุนเวียน และลดความเสี่ยงของการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของการพัฒนาผู้มีความสามารถนั้น แซดทีอียังคงดึงดูดและจูงใจผู้มีความสามารถได้อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น โครงการบลูซอร์ด (Blue Sword Program) ซึ่งบ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคตของบริษัทมาตั้งแต่ปี 2557 โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์คือผู้ฝึกงานกลุ่มแรกที่ได้รับบทบาทผู้นำในบริษัท สำหรับในปี 2564 แซดทีอีได้ยกระดับความพยายามในการสรรหาบุคลากรตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเสนอตำแหน่งงานมากกว่า 6,000 ตำแหน่งในสาขาต่าง ๆ เช่น การวิจัยและพัฒนา การตลาด การสนับสนุนการปฏิบัติงาน และห่วงโซ่อุปทาน ให้แก่บัณฑิตที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมจากทั่วโลก

ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าด้วยความเปิดกว้างและโปร่งใส พร้อมสร้างระบบนิเวศความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

แซดทีอีมุ่งมั่นที่จะจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้า และรับประกันความปลอดภัยของอุปกรณ์เครือข่ายการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

ในปี 2564 แซดทีอีได้รับการรับรองมาตรฐานระบบการจัดการคุณภาพ ISO 9001, TL 9000, QC 080000, ESD, ISO 45001, ISO 14001 และ ISO 22301 ซึ่งครอบคลุมทั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา ฐานการผลิตหลักของบริษัท และผลิตภัณฑ์หลัก 62 หมวดหมู่ และในปีเดียวกัน แซดทีอีสามารถลดระยะเวลาเฉลี่ยในการซ่อม (MTTR) ลง 29.5% เมื่อเทียบกับปี 2563 นอกจากนี้ บริษัทยังให้การสนับสนุนลูกค้าทางไกลและบริการอะไหล่ใน 65 ประเทศ โดยมีอัตราความพึงพอใจของลูกค้าสูงกว่า 99%

ในส่วนของความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายนั้น แซดทีอีได้ปรับปรุงข้อตกลงความรับผิดชอบต่อสังคมของซัพพลายเออร์ และหลักจรรยาบรรณด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของซัพพลายเออร์ เพื่อรับประกันการพัฒนาด้วยความรับผิดชอบและยั่งยืนของพันธมิตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า นอกจากนี้ แซดทีอีได้เผยแพร่รายงานแร่ธาตุแห่งความขัดแย้ง (Conflict Minerals Report) โดยอ้างอิงจากการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะและการประเมินซัพพลายเออร์ 255 ราย และในอนาคต การตรวจสอบสถานะและการประเมินแร่ธาตุแห่งความขัดแย้งจะครอบคลุมซัพพลายเออร์ทั้งหมดของบริษัท

นำการพัฒนาสีเขียวมาปฏิบัติจริง และนำแนวทางดิจิทัลมาใช้เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

เนื่องจากเผชิญกับความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แซดทีอีจึงปูเส้นทางสีเขียวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลด้วยการส่งเสริมการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมแนวดิ่งเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน แซดทีอีทำงานร่วมกับพันธมิตรและเดินหน้าสำรวจการใช้งาน 5G ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินโครงการที่เป็นแบบอย่างมากกว่า 60 โครงการทั่วโลก โดยมีเป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนสูงสุดก่อนปี 2573 ก่อนที่จะลดลงจนบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนก่อนปี 2603

ในปี 2564 แซดทีอีได้ดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์คาร์บอนคู่ (Dual Carbon) ในระดับองค์กร โดยได้จัดตั้งและเพิ่มขีดความสามารถของทีมยุทธศาสตร์คาร์บอนคู่ และสมาชิกในทีมมากกว่า 170 คนได้เข้าร่วมฝึกอบรมมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ISO 14064 และโครงการกำหนดเป้าหมายโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science-Based Targets)

แซดทีอีได้รับการประเมินผลระดับ B จากดัชนีชี้วัดความยั่งยืนซีดีพี (CDP) โดยเป็นผลมาจากการดำเนินการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการมีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ โดยข้อมูลที่เปิดเผยบนเว็บไซต์ของซีดีพีระบุว่า ซัพพลายเออร์ชั้นนำกว่า 40 รายในห่วงโซ่อุปทานของแซดทีอี มีการกำหนดยุทธศาสตร์การลดคาร์บอน

ในส่วนของการปฏิบัติงานในสำนักงานนั้น แซดทีอีได้ริเริ่มโครงการประหยัดพลังงาน 9 โครงการในประเทศจีน ซึ่งช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 21.56 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี นอกจากนี้ แซดทีอียังลดการใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ลง 689.1 ตัน ผ่านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีน้ำหนักลดลง

ณ ปี 2564 แซดทีอีได้จัดตั้งโรงงานรีไซเคิล 140 แห่งทั่วโลก และในประเทศจีนนั้น บริษัทได้ปรับปรุงศูนย์รีไซเคิลและแปรรูปขยะแบบรวมศูนย์ 4 แห่ง และสร้างความร่วมมือเชิงลึกกับสถาบันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชั้นนำกว่า 10 แห่งในอุตสาหกรรม จนมีอัตราการรีไซเคิลโดยรวมสูงถึง 97% นอกจากนี้ แซดทีอีได้สร้างความร่วมมือเชิงลึกในระยะยาวกับสถาบันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกว่า 150 แห่งในต่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจรีไซเคิลมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ จนมีอัตราการรีไซเคิลโดยรวมสูงถึง 98%

ขณะเดียวกัน พาวเวอร์มาสเตอร์ (PowerMaster) ซึ่งเป็นโซลูชันพลังงานแบบไฮบริดของแซดทีอี ยังได้รับรางวัลโซลูชันนวัตกรรมทางเทคโนโลยีด้านการปล่อยคาร์บอนสูงสุดและการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนและการพัฒนาคุณภาพสูง ประจำปี 2564 จากไชน่า เอเนอร์จี นิวส์ (China Energy News)

ยึดมั่นในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความดีในสังคม และมุ่งมั่นสนับสนุนชุมชนทั่วโลกอย่างแข็งขัน

ในขณะที่แซดทีอีเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัทก็ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ โดยให้ความสำคัญกับผู้รับและความต้องการที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ แซดทีอีมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการศึกษา การให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ การช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง การฟื้นฟูชนบท และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมกับสร้างความมั่นใจว่าโครงการสาธารณประโยชน์ทั้งหมดจะตอบสนองความต้องการของผู้รับอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุประโยชน์ทางสังคมตามที่มุ่งหวัง โดยแซดทีอีแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่องผ่านการบริจาคและการสนับสนุนทางเทคโนโลยี

ในปี 2564 มูลนิธิแซดทีอี (ZTE Foundation) ได้บริจาคเงิน 13.17 ล้านหยวน และจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 220 กิจกรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนราว 12,000 คน นอกจากนั้นยังเปิดตัวระบบบริการอาสาสมัครใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า "แซดทีอี โวลันเทียร์" (ZTE Volunteer) และเปิดสาขาอาสาสมัคร 15 สาขาทั่วโลก จนมีจำนวนอาสาสมัครมากกว่า 5,600 คนในปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 76% เมื่อเทียบรายปี

ในอนาคต แซดทีอีจะดำเนินการด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง สร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่น และสนับสนุนการใช้ยุทธศาสตร์คาร์บอนคู่เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ในฐานะที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างแน่วแน่ บริษัทมุ่งมั่นที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนทำงานร่วมกับพนักงานและพันธมิตร เพื่อสร้างความสำเร็จสำหรับทุกฝ่ายด้วยความกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและสำรวจโอกาสเพิ่มเติมท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

ดาวน์โหลดรายงานความยั่งยืนประจำปี 2564 ฉบับเต็มได้ที่ลิงก์ด้านล่าง

https://res-www.zte.com.cn/mediares/zte/Files/PDF/white_book/2021_ZTE_EN.pdf

สื่อมวลชนติดต่อ
มาร์กาเร็ต หม่า
แซดทีอี คอร์ปอเรชัน
โทร. +86 755 26775189
อีเมล: [email protected]

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/1842172/ZTE_2021_Sustainability_Report.jpg



ที่มา:  พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO