ดร. กิติพงค์ กล่าวถึงการเข้าร่วมการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ที่เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP27 ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งบทบาทของ สอวช. ในฐานะที่เป็น National Designated Entity (NDE) ด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ The Climate Technology Centre and Network (CTCN) ภายใต้อนุสัญญา UNFCCC รับผิดชอบในการเจรจาเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยได้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะการหารือถึงแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) มีการพูดคุยกันถึงประเด็นใหญ่ๆ ทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) ที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยตัวอย่างที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในประเทศไทย เช่น การจัดทำกลไกในการซื้อขายพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy: RE) และคาร์บอนเครดิตของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งมีการเตรียมการจนใกล้จะสามารถซื้อขายได้จริง ทั้งการทำระบบ และแพลตฟอร์มรองรับ
อีกประเด็นสำคัญคือการพัฒนาบุคลากรในสายงานที่เกี่ยวข้อง ที่ในอนาคตจะมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการแลกเปลี่ยนหรือการซื้อขายคาร์บอน ที่ต้องคำนึงถึงมาตรฐาน Carbon Verification การจะพัฒนาศักยภาพของไทยให้ทัดเทียมกับสากลได้ จึงต้องพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับงานในด้านนี้ ซึ่ง สอวช. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ได้ร่วมกันวางแนวทางริเริ่มผลิตคนกลุ่มนี้ขึ้นมา โดยในช่วงแรกให้เป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่จะทำเรื่องมาตรฐาน Carbon Verification ได้
ในปัจจุบันยังมีแนวโน้มที่เริ่มทำกันเยอะขึ้นคือ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) เป็นสิ่งที่เริ่มมีความก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งประเทศไทยต้องมองถึงการทำงานร่วมกับสถาบันที่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ เข้าไปดูว่าในทางเทคโนโลยีเราควรดำเนินการอย่างไรจึงจะพอดีกับความต้องการ และเตรียมพร้อมการวางเส้นทางในการเดินหน้าต่อในอนาคต และอีกเทรนด์ที่มีการพูดถึงกันพอสมควรคือการมุ่งสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจน หรือ Hydrogen Economy ที่หลายคนบอกว่าในอนาคตการกักเก็บพลังงานในรูปไฮโดรเจน ไม่ว่าเป็นแก๊ส หรือของเหลว อาจเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ
"การระดมความเห็นร่วมกัน เพื่อให้ได้แผนที่นำทางออกมานั้น จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ และเห็นภาพการทำงานในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับภาครัฐ ในการนำไปทำนโยบายเพื่อสอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชนในการสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง และทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะมีส่วนช่วยกันในการไปเจรจา สร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ การประชุมครั้งแรกจะเป็นจุดเริ่มต้นในการนำความเห็นและแนวทางไปขับเคลื่อน สร้างความเข้าใจในการทำงานร่วมกันต่อไป" ดร. กิติพงค์ กล่าว
การประชุมในครั้งนี้ ยังได้มีการแบ่งกลุ่มระดมความเห็นตามกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4 ด้าน ได้แก่ 1) Fuel Switching ตัวอย่างเช่น การปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลของระบบผลิตพลังงานร่วม 2) Electrification ตัวอย่างเช่น การจัดการพลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ 3) Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน และ 4) Hydrogen พลังงานทางเลือกไฮโดรเจน โดยวิเคราะห์ความต้องการนวัตกรรม และวิเคราะห์ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรม
ผลจากการระดมความเห็นจากบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญจากภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และภาคการศึกษาและวิจัย ได้ให้ความเห็นที่หลากหลาย เช่น การมองถึงโอกาสในการปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงเดิมในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ ให้เป็นพลังงานชีวภาพ (Biogas) หรือพลังงานชีวมวล (Biomass) เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และในระยะยาวมองถึงการเข้าสู่เศรษฐกิจไฮโดรเจนอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีการเสนอแนวทางซื้อนวัตกรรมที่มีขายอยู่แล้วมาต่อยอด หรือการใช้วัสดุทางเลือกอื่นๆ มาทดแทน ในส่วนการสนับสนุนด้านนโยบายในภาพรวมให้ความเห็นว่า ต้องการนโยบาย ระเบียบหรือกลไกที่ช่วยสนับสนุน ทั้งในด้านการเงิน การพัฒนากำลังคน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์และแรงจูงใจให้ภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคเอกชนและนักลงทุน หันมาให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องนี้มากขึ้น เกิดการปรับเปลี่ยน และการนำไปปฏิบัติจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม
ที่มา: สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)