นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมานานกว่า 3 ทศวรรษ ผ่านวัฏจักรขึ้น-ลงของธุรกิจมาแล้วหลายรอบ โดยเฉพาะช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ที่ส่งผลให้บริษัทต้องฟื้นฟูกิจการอยู่นานหลายปี และถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ยึดถือมาเป็น Business Model จนถึงทุกวันนี้คือ การให้ความสำคัญกับเรื่องของความมั่นคงมากกว่าการเติบโตและเน้นการพึ่งพาตัวเอง
"ในช่วงเวลากว่า 30 ปี บริษัทได้ค่อยๆ พัฒนาไปทีละขั้น ด้วยแนวคิดสำคัญคือ บ้านเป็นสินค้าคงทนที่ใช้ได้นาน ชีวิตหนึ่งไม่ได้ซื้อได้หลายครั้ง ความรับผิดชอบจึงถือเป็นสิ่งสำคัญและเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด 4 เรื่องในการพัฒนาโครงการของบริษัทที่เรียกว่า 4 Kanda Concept ซึ่งเป็นเสมือนองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่สะสมมายาวนานกว่า 30 ปี ถูกพัฒนาขึ้นจากการที่ได้มองเห็นปัญหาของการอยู่อาศัยในแง่มุมต่างๆ นำไปสู่แนวทางแก้ปัญหาและพัฒนาให้ดีขึ้น" นายอิสระกล่าว
สำหรับ 4 Kanda Concept ประกอบด้วย 4 เรื่องหลักคือ
- 3 Generation ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันของครอบครัวแบบไทยที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2542 บ้านของบริษัททุกระดับราคาต้องมีห้องนอนชั้นล่าง โดยเฉพาะในทาวน์เฮ้าส์ ที่ต่อมาเกือบทุกบริษัทต้องออกแบบให้มีห้องนอนชั้นล่างด้วยเช่นกัน
- Easy Maintenance เนื่องจากบ้านต้องอยู่ไปนานจึงต้องออกแบบให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา เช่น การออกแบบห้องน้ำชั้นบนให้อยู่ส่วนหน้าของบ้านหรืออยู่ระเบียงข้างบ้านเมื่อถึงเวลาต้องซ่อมบำรุงจะได้ไม่ต้องเข้าไปซ่อมในบ้าน หรือการทำขอบกันน้ำที่หน้าต่างเพื่อเป็น Double Protect สำหรับบ้านทุกหลัง
- Eco Smart การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดการใช้พลังงานในบ้านและพื้นที่สาธารณะ แต่ก็เน้นเรื่องความคุ้มค่าด้วย โดยใช้หลักการของ Reduce Reuse Recycle เช่น การหลอดไฟในบ้านและถนนโครงการเป็นหลอด LED การใช้กระจกเขียวตัดแสง ฝ้าเพดานใช้ยิบซั่มชนิดมีฟอยล์ ติดตั้งพัดลมระบายความร้อน
- Flood Protection เพิ่มการป้องกันอุทกภัยในทุกโครงการ เช่น การให้ความสำคัญกับระดับถมดิน ระดับของตัวบ้าน การทำแนวรั้วที่มิดชิด ติดตั้งระบบสูบน้ำในโครงการ เป็นต้น ซึ่งทั้ง 4 เรื่องถือเป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อผู้อยู่อาศัย ต่อชุมชน และต่อสังคมด้วย
นายอิสระ กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันต้องถือว่าทั้งเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่ต้องใช้ในการบริหารจัดการ เทคโนโลยีเรื่องของการก่อสร้าง เรื่องของ Digital Marketing ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าคนรุ่นใหม่จะทำได้ดีกว่าจึงเป็นที่มาของ Kanda Change ทั้งในด้านของการส่งต่อการบริหารงานให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่คือนายหัสกร บุญยัง รวมถึงการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น โดยที่เรายังคงเป็นที่ปรึกษาในเชิงของประสบการณ์ให้อยู่
ด้านนายหัสกร บุญยัง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า Kanda Change คงเป็นการสานต่อมากกว่า โดยยังคงสิ่งที่ดีอยู่แล้วไว้และอาจจะปรับเปลี่ยน กลยุทธ์ กระบวนการต่างๆ หรือ ผลิตภัณฑ์ ในมุมที่คิดว่าน่าจะดีขึ้นหรือเหมาะสมมากขึ้น
ในส่วนของ Branding จะเน้นการสร้างการรับรู้และจดจำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเมื่อก่อนอาจจะมีหลายแบรนด์ เช่น Kanda Place, The First Home, Siam Natural Home แต่ในปัจจุบันเกือบ 20 โครงการของบริษัททั้งหมดจะใช้ชื่อโครงการเพียงชื่อเดียวคือ ileaf โดยแบ่งระดับของโครงการ ประกอบด้วย
- ileaf town และ ileaf park เป็นโครงการระดับกลางระดับราคา 1.9-5 ล้านบาท
- ileaf proud และ ileaf prime เป็นโครงการระดับพรีเมี่ยม ระดับราคา 2-10 ล้านบาท
- ileaf prima เป็นโครงการรวมหลายโครงการอยู่ด้วยกันเป็น Community
นายหัสกร กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของ Marketing รูปแบบของสื่อที่เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็น Cutout หรือ สื่อ Online ทั้งหลาย พยายามจะคุม Theme ให้เป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย การออกแบบโครงการหรือรูปแบบบ้านก็จะมี Theme ที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Theme Resort, California หรือ English Garden ที่จะนำมาใช้สำหรับโครงการที่เปิดขายในปีนี้ทั้งหมด
สำหรับช่องทางการตลาดบริษัทให้ความสำคัญกับ Online หรือ Digital Marketing มากขึ้น เป็นทั้งช่องทางในการโฆษณา และวิเคราะห์กลุ่มลูกค้า ซึ่งตัวเลขของยอดการเข้าถึงสื่อ ตัวเลขของผู้เยี่ยมชม และจองโครงการ สะท้อนถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับต้นทุนการโฆษณา
"ในส่วนของ Product จะยังคงยึด 4 Kanda Concept เป็นหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยอาจจะมีปรับเปลี่ยนบางข้อ เช่น 3 Generation เป็น Multi Generation ให้ทันสมัยขึ้น และเพิ่มเติม Concept ที่ 5ขึ้นมาในช่วง Covid คือ Space Matter ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญในการออกแบบทุกพื้นที่ใช้สอยในตัวบ้าน ล่าสุดบริษัทเพิ่งเปิดตัวทาวน์โฮม 4 ห้องนอนที่มีสวนส่วนตัว และมีห้องน้ำส่วนตัวทุกห้องขึ้นมาในโครงการไอลีฟ ไพร์ม ลำลูกกา คลอง 2 ที่สะท้อนถึงแนวคิด Space Matter"
สำหรับกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทยังคงเน้นการเติบโตอย่างมั่นคง และที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือการขยายทำเล เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า โดยแผนตั้งแต่ปี 2560-2566 บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายทำเลให้ได้อย่างน้อยปีละ 1-2 ทำเล สำหรับในปี 2565 บริษัทเตรียมเปิดโครงการบนทำเลใหม่ในช่วงปลายปี ได้แก่ โซน รามอินทรา-คู้บอน ส่วนในปี 2566 บริษัทมีทำเลใหม่ที่เตรียมไว้เปิดโครงการใหม่แล้วอย่างน้อย 1 ทำเล ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะแตกไลน์ธุรกิจทั้งการร่วมทุนและสนับสนุน Start Up
นายหัสกร กล่าวอีกว่า ในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบรวม 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,700 ล้านบาท มีทั้งการเปิดโครงการในทำเลเดิม และขยายไปในทำเลใหม่ๆ รวมทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่ในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับกลาง-กลางบน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น
สำหรับโครงการใหม่ที่เปิดขายในปี 2565 ประกอบด้วย โครงการไอลีฟ ไพร์ม ลำลูกกา คลอง 2 โครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 ประชาอุทิศ 90 โครงการไอลีฟ พราวด์ พระราม 2 กม.14 โครงการไอลีฟ พราวด์ วงแหวน-รังสิต คลอง 4 ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท รวมทั้งการเปิดโครงการในทำเลใหม่อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไอลีฟ ไพร์ม รามอินทรา-คู้บอน และโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน จังหวัดชลบุรี
"ในปี 2565 บริษัทจะมีทั้งโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวม 17 โครงการ ใน 10 ทำเล ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,300 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าเป็นไปตามเป้า มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ ประมาณ 1,000 ล้านบาท
สำหรับในครึ่งปีหลัง ยอดขายคิดว่าจะทำได้ตามเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 3,300 ล้านบาท ในส่วนของยอดรับรู้รายได้คาดว่าจะทำได้ประมาณ 2,200 ล้านบาท ตกจากเป้าที่ตั้งไว้เล็กน้อย เนื่องจากความล่าช้าในการปรับปรุงรูปแบบบ้าน อย่างไรก็ตามยอดโอนถือว่า ยังคงเติบโตจากปี 2564 ประมาณ 10%" นายหัสกรกล่าวปิดท้าย
ที่มา: สภาองค์กรของผู้บริโภค