นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ J Ventures ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีในเครือเจมาร์ท เปิดเผยว่า กว่า 5 ปีที่ผ่านมาของ เจ เวนเจอร์ส เรามีความมุ่งมั่นที่ต้องการผลักดันให้เกิดการใช้เหรียญ JFIN ที่ได้เปิดตัวเมื่อปี 2560 โดยที่ผ่านมาเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรมากมาย อาทิ ร้านค้าในเครือเจมาร์ท, ร้านกาแฟ Casa Lapin, Rabbit Rewards หรือตู้เต่าบิน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเหรียญ JFIN ในรูปแบบที่เรียกว่า JFIN Adoption ผ่านแอปพลิเคชัน J.ID ที่มีฟีเจอร์หลักในการเก็บเหรียญ JFIN และสามารถยืนยันตัวตนได้ตามมาตรฐาน NDID พร้อมรับสิทธิพิเศษจากพาร์ทเนอร์มากมายผ่านทางแอปพลิเคชัย ซึ่งปัจจุบัน J.ID มีผู้ใช้งานประมาณ 800,000 ราย และมีการใช้ JFIN หมุนเวียนถึง 4.6 ล้าน และเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้แอปพลิเคชันไปอีกขั้น ล่าสุดเราได้พัฒนาแอปพลิเคชัน J.ID เวอร์ชัน 3.0 พร้อมรีแบรนด์ให้เป็น "Join Application" ภายใต้คอนเซปต์ Join Your Crypto Experience เชื่อมต่อทุกคนเข้าสู่โลกเทคโนโลยีบล็อกเชนบน Mobie Application
วัตถุประสงค์ของการพัฒนา "Join Application" เกิดจากการที่เราต้องการเพิ่มประสบการณ์ให้แก่ผู้ใช้ทุกกลุ่ม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวก และรวดเร็ว ตั้งแต่หน้าตาของ Inferface ที่มีความหลากหลายของสี เน้นภาพลักษณ์ที่เป็นกันเอง และสนุกสนาน เชื่อมโยงกับทุกพันธมิตรเพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งานและความต้องการ ซึ่ง Join Application ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่อยู่ใน JFIN Ecosystem ดังนั้นนอกจากการพัฒนาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานแล้ว คือยังคงมุ่งมั่นในการสร้างอีโคซิสเต็มของการใช้ JFIN ให้เติบโตขึ้น โดยในอนาคต เจ เวนเจอร์ส มีแผนขยายความร่วมมือทางธุรกิจอีกหลากหลายประเภท เพื่อนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะบล็อกเชนมาใช้งานทั้งในอีโคซิสเต็มของเครือ Jaymart Group และพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานคริปโตแอปพลิเคชันให้แก่คนไทย
"วันนี้เราจะได้ไม่ได้โฟกัสเพียงแค่อีโคซิสเต็มของเจมาร์ทเท่านั้น แต่เราเปิดโอกาสให้กับพันธมิตรทางธุรกิจที่สนใจจะก้าวสู่โลกเทคโนโลยีบล็อกเชนไปด้วยกัน ต่อยอดไปถึงการทำ Utitity NFT เนื่องจากบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทต่อธุรกิจ และจะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น ดังนั้น การมีแอปพลิเคชัน Join จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น และ Join จะเชื่อมต่อจากอีโคซิสเต็มทั้งหมดของเราออกไปสู่พันธมิตรทางธุรกิจและผู้ใช้งาน โดย Join เป็นแอปพลิเคชันที่ทำงานบนระบบบล็อกเชนอย่างแท้จริง โดยปัจจุบันทำงานอยู่บน xCHAIN ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่พัฒนาโดยบริษัท บล็อกเชน เวิร์คกิ้ง กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ TBWG ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทลูกของ เจ เวนเจอร์ส เอง" นายธนวัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ Join Application จะทำให้การรับโอนเหรียญดิจิทัลเป็นเรื่องง่าย เพียงสแกน QR กระเป๋าปลายทาง หรือระบุหมายเลขโทรศัพท์ปลายทาง ก็สามารถโอนออกได้ทันที พร้อมการแจ้งเตือนเมื่อรับ-โอนเหรียญสำเร็จ รวมทั้งสามารถจัดการรับ-โอนเหรียญ และ NFTs ได้อย่างสะดวก และปลอดภัย ทั้งภายใน Join Wallet และ Exchange รวมถึง Network อื่นๆ โดยจะแสดงประวัติ และสลิปรายการอย่างครบถ้วน และนอกจากนี้ยังสามารถแลกสินค้า ดีลดี สิทธิพิเศษ จากพันธมิตรในรูปแบบ Utility NFTs ที่สามารถส่งต่อให้เพื่อนได้ โดยระบบ e-KYC ยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ง่าย สะดวก และปลอดภัย โดยสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมมากมายจากพันธมิตรเพื่อรับ NFTs ไปสะสม
"Join Application จะช่วยให้ยกระดับให้ เจ เวนเจอร์ส สามารถสร้างอีโคซิสเต็มและนำไปขับเคลื่อน Digital Transformation สู่พันธมิตรได้มากขึ้น โดยในปี 2565 นี้จะพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ เพื่อตอบสนองการใช้งานของลูกค้าให้รอบด้าน อีกทั้งเพื่อรองรับการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในรูปแบบ Multi-chain Support ทำงานได้บนบล็อกเชนหลายระบบ รวมถึงเชื่อมบริการ DApps ต่าง ๆ บน Join ให้มีมากขึ้น ซึ่งในวันนี้ เจ เวนเจอร์ส ไม่ได้มองว่าลูกค้าคือกลุ่มผู้ใช้งาน end user เท่านั้น แต่มุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาให้แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มเป็นรูปแบบของ Web3 Enterprise Blockchain Wallet Application ที่พร้อมรองรับกลุ่มธุรกิจและพันธมิตรที่จะเข้ามาเชื่อมต่อกับ Join และสร้างอีโคซิสเต็มบล็อกเชนให้ใหญ่ขึ้น"
"ในช่วงปีที่ผ่านมาเจ เวนเจอร์ส เอง มีการเติบโตอย่างชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในการด้านของการเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล จากปี 2564 เรามีรายได้ 56.2 ล้านบาท และเริ่มมีกำไรสุทธิ 1.12 ล้านบาท ด้วยรายได้จากแพลตฟอร์มที่ดึงคนเข้ามาใช้งานให้มีจำนวนมากขึ้น และในปี 2565 นี้เราจะนำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เรามี รวมถึงจากบริษัทลูกของเราเข้าไปช่วยขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ เพื่อทำ Digital Transformation โดยเฉพาะเรื่องของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนของเราไปเป็นตัวเชื่อมต่อให้ธุรกิจต่างๆ ด้วย Join Application ที่เรามีจะเป็นอีกเครื่องมือที่จะช่วยให้เชื่อมต่อธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพราะเราเชื่อว่าการเติบโตของทุกธุรกิจในปัจจุบันจะต้องไปในรูปแบบการสร้างอีโคซิสเต็ม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน" นายธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: ชมฉวีวรรณ