ฟิทช์ปรับลดอันดับเครดิตของ พีทีที โกลบอล เคมิคอล เป็น 'AA(tha)'; แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

อังคาร ๒๖ กรกฎาคม ๒๐๒๒ ๑๓:๐๒
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท เป็น 'AA(tha)' จาก 'AA+(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น ที่ 'F1+(tha)'

การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า อัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิต 'AA+(tha)' ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่น่าจะต่ำกว่าที่ฟิทช์เคยคาดการณ์ไว้ และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่สูงขึ้นในปี 2565 ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะปรับตัวลดลงในปี 2565 เนื่องจากอัตราการเติบโตของความต้องการที่ช้าลง และกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาในอุตสาหกรรม ดังนั้นฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC ที่วัดโดยหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net debt/EBITDA) จะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่าจนถึงปี 2567 แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจะกลับมาเติบโต และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนจะปรับตัวลดลงตั้งแต่ปี 2566

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

อัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับที่สูงขึ้น: อัตราส่วน Net debt/EBITDA ของ PTTGC เพิ่มขึ้นเป็น 3.1 เท่า ณ สิ้นปี 2564 หลังจากการเข้าซื้อกิจการของ Allnex Holding GmbH ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 อย่างไรก็ตามการปรับตัวลดลงของอัตราส่วนหนี้สินน่าจะช้ากว่าที่ฟิทช์เคยคาดการณ์ไว้ เนื่องจากกำไรที่ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ และการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วน Net debt/EBITDA ของ PTTGC จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ระดับ 3.7 เท่า ในปี 2565 หลังจากนั้นอัตราส่วนหนี้สินน่าจะเริ่มปรับตัวลดลงในปี 2566 และ 2567 แต่จะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่า แม้ว่าฟิทช์คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของกำไร และค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ลดลง

กำไรที่ลดลงในปี 2565: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ไม่รวม Allnex จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 4-4.5 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 จาก 6.1 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 โดยส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะปรับตัวลดลงในปี 2565 เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การเติบโตของความต้องการที่ช้าลงและกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรม จะจำกัดความสามารถของบริษัทในการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาขายได้

ฟิทช์คาดว่า ค่าการกลั่น (ที่ใม่รวมกำไร/ขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน) จะยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งในปี 2565 แต่กำไรของธุรกิจกลั่นน้ำมันของ PTTGC ได้รับผลกระทบจาก Crude premium ที่สูงขึ้น และขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูงกว่า ราคาที่กำหนดในสัญญาดังกล่าว โดย PTTGC มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงจำนวน 8.6 พันล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ส่งผลให้ธุรกิจกลั่นน้ำมันมี EBITDA ติดลบ แม้ว่าค่าการกลั่นจะอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 7.6 เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อบาร์เรล นอกจากนี้การพิจารณาหาแนวทางของรัฐบาลเพื่อช่วยลดผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นต่อผู้บริโภค ในรูปแบบของภาษีจากกำไรที่เพิ่มขึ้น หรือการสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ จากผู้ประกอบการธุรกิจกลั่นน้ำมัน หากมีการดำเนินการดังกล่าว อาจจะมีผลกระทบอย่างมากต่อกำไรของธุรกิจกลั่นน้ำมันของ PTTGC

ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่สูงขึ้น: PTTGC ได้ปรับเพิ่มแผนการลงทุนในปี 2565 เป็นประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท (ปี 2564 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท) เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มเติมของ Allnex ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนของ PTTGC น่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในปี 2566 และ 2567 การลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐอเมริกา ยังคงอยู่ในแผนของบริษัทในการสนับสนุนการเติบโต และเพิ่มการกระจายตัวของธุรกิจ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision) ของโครงการดังกล่าวน่าจะยังคงไม่เกิดขึ้น จนกว่าบริษัทจะสามารถหาผู้ร่วมทุนในโครงการดังกล่าวได้

ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น: การเข้าซื้อกิจการ Allnex สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ PTTGC ในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีเกรดพิเศษ (Specialty Chemical) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจที่มีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่ต่ำกว่า สัดส่วน EBITDA จากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูงของ PTTGC ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 30 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 หลังจากการเข้าซื้อ Allnex จากระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งทำให้สถานะทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้ Allnex จะช่วยให้ PTTGC เข้าถึงลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ PTTGC มียอดขายในระดับจำกัด และเพิ่มความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ฟิทช์เชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ EBITDA ของ PTTGC มีเสถียรมากขึ้น และเพิ่ม EBITDA margin ประมาณร้อยละ 1-2 Allnex เป็นบริษัทผู้ผลิต Resins ที่ใช้ในอุตสาหรรม Coating ชั้นนำของโลก โดยบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และครอบคลุมอุตสาหกรรมจำนวนมาก

ความสัมพันธ์กับ ปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ที่ 'AA(tha)' ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท (Standalone Credit Profile) ของ PTTGC ที่ 'a+(tha)' ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแรงจูงใจของบริษัทแม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ 'BBB+'/ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AAA(tha)'/ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) ในการให้การสนับสนุนในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านดำเนินงาน (Operational incentive) แก่ PTTGC ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology) ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง PTTGC เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญต่อ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท. และเป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของ ปตท.

การผลิตที่ครบวงจรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ: PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มากกว่า และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับผู้ผลิตปิโตรเคมีและน้ำมันอื่นๆ ในประเทศ นอกเหนือจากนี้ PTTGC ยังมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ คือก๊าซธรรมชาติซึ่งจัดหาได้จากภายในประเทศ และบริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่มีสัญญาการจัดหาวัตถุดิบระยะยาวกับ ปตท. ซึ่งช่วยลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบได้

ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ค่าการกลั่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท นอกจากนี้ PTTGC ยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบน้อยแหล่ง เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจาก ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัท รับวัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ปตท. ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปตท. และเป็นตัวจักรสำคัญในการขยายธุรกิจปิโตรเคมีของ ปตท. โดยเห็นได้จากการที่ ปตท. ได้โอนธุรกิจปิโตรเคมีให้กับ PTTGC ในปี 2560 สถานะเครดิตโดยลำพังของ PTTGC สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและการผลิตปิโตรเคมีที่ใหญ่ของบริษัท รวมถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว

PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายตัวของธุรกิจปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่ามาก

สมมุติฐานที่สำคัญ:

  • ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 105 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565, 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566, 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 และหลังจากนั้น โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC;
  • กำไรของธุรกิจโอเลฟินส์ ปรับตัวลดลงในปี 2565 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามากดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ
  • ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2565 และ 2566 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในภาคการขนส่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. สิ้นสุดลงในปี 2567 ทำให้เทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบลดลงเป็น 30 วันจาก 90 วัน
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 6.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2565-2566
  • จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม
  • รวมงบการเงินของ บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ PTTGC

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก:

  • อัตราส่วน Net debt/EBITDA ลดลงไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง
  • ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท กับ ปตท. ที่เพิ่มสูงขึ้น

ปัจจัยลบ:

  • อัตราส่วน Net debt/EBITDA ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง
  • ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดน้อยลง

สภาพคล่อง

สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: PTTGC มีหนี้ทั้งหมด จำนวน 2.8 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม ปี 2565 โดยหนี้จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท จะถึงกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า สภาพคล่องของ PTTGC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 8.6 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม ปี 2565 นอกจากนี้ PTTGC ยังมีวงเงินหมุนเวียนที่ไม่ผูกพัน (Uncommitted line) จำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท เพื่อสนับสนุน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน และสถาพคล่อง ฟิทช์เชื่อว่าธนาคารจะยังคงต่ออายุวงเงินเหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวงเงินประเภทไม่ผูกพัน เนื่องจากสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีในประเทศไทย

เกี่ยวกับบริษัท

PTTGC เป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และกลั่นน้ำมัน ที่ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปตท. โดยมีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และเคมีจำนวน 14 ล้านตันต่อปี ณ สิ้นปี 2565 และมีกำลังการผลิตของโรงกลั่นที่ 2.8 แสนบาร์เรลต่อวัน

ที่มา: ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ