นายนพพร ภัทรรุจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ผู้นำการผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารและบรรจุภัณฑ์ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน) ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม และกำไรสุทธิ ทำจุดสูงสุดครั้งใหม่ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 22.78 ล้านบาท เติบโต 183% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้รวมเติบโตกว่า 40% แตะ 1,274 ล้านบาท ตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก
โดยกลุ่มธุรกิจอาหารมียอดขายเกือบ 870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของยอดขายหมวดอาหารแปรรูปเกือบ 60% แตะ 424 ล้านบาท เป็นผลมาจากปริมาณการขายอาหารแช่แข็งพร้อมทานให้กับร้านสะดวกซื้อร้านใหญ่ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งเมนูเดิมและมีเมนูใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส รวมทั้งมีการขายกุ้งแช่แข็งให้กับลูกค้ารายใหญ่ และร้านอาหารขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบ และมีการส่งออกปลาน้ำจืดแปรรูป นอกจากนี้บริษัทฯยังได้มีการรับรู้รายได้จากกิจการลูกชิ้นทิพย์เข้ามาเติมพอร์ต นับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมารวมกว่า 182 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์มียอดขายกว่า 401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หลังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มเดิม และขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อาทิ กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้าง เป็นต้น
นายนพพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดบริษัทฯได้ปรับราคาขายผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มธุรกิจ ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพระดับสูง เพื่อรับมือกับต้นทุนที่ขยับสูงขึ้น ตามราคาน้ำมันและวัตถุดิบในตลาดโลก อย่างไรก็ตามราคาต้นทุนได้ผ่านจุดสูงสุดในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาแล้ว เบื้องต้นมั่นใจแนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่น ซึ่งบริษัทฯเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งกลุ่มอาหารแช่เย็น (Chilled Food) เพื่อวางจำหน่ายผ่านร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ และผลิตภัณฑ์หมวดซีฟู้ด และซอส จากสายการผลิตซอสของธุรกิจลูกชิ้นทิพย์ ควบคู่ไปกับการเตรียมลุยตลาดส่งออกเต็มรูปแบบ เพื่อต่อจิ๊กซอว์ภาพรวมรายได้ทั้งปี 2565 เติบโตตามเป้าทะลุ 3,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตามแผนภายในไตรมาส 1/2566
ทั้งนี้ บมจ.โกลบอล คอนซูเมอร์ แบ่งธุรกิจเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็ง, อาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน, ลูกชิ้นทิพย์ และผลไม้อบแห้ง สัดส่วน 73%, 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทต่างๆ สัดส่วน 24% และ 3.ธุรกิจเทรดดิ้ง สัดส่วน 3% ของรายได้รวม
ที่มา: บียอร์นไออาร์