บาทหลวงภัทรพงศ์ ศรีวรกุล ประธานมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เปิดเผยว่ากว่า 35 ปี ที่มูลนิธิฯได้ดำเนินงานด้านคนพิการ เพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริม ยกระดับ ขยายโอกาสการมีงานทำของคนพิการทุกประเภทจากทั่วประเทศ ให้ได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านคุณภาพ ทักษะฝีมือ ความรู้และมีรายได้ที่เหมาะสมปรับเปลี่ยนสอดคล้องกับสถานการณ์ และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ล่าสุดได้เปิดอบรมหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง รุ่นที่ 1 พร้อมเปิดศูนย์ เทคโนโลยีการเกษตรคนพิการนานาชาติ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
นับเป็นความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ กับ You Like Farm จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับผู้พิการ อีกทั้งโครงการนี้ยังช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ต่อยอดความร่วมมือ โยงใยสืบสานงานการส่งเสริมอาชีพคนพิการในอนาคต พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้นให้แก่คนพิการทั่วประเทศ โดยในงานได้รับเกียรติจากนายวินัย อินทร์พิทักษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลหนอง นายสุชาติ อิ่มบัญชร ที่ปรึกษามูลนิธิฯ คณะผู้บริหาร ตัวแทนจากภาคเอกชน และผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง รุ่นที่ 1 ร่วมพิธีเปิดศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรคนพิการนานาชาติ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
สำหรับศูนย์เทคโนโลยีการเกษตรคนพิการนานาชาติ แห่งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรคนพิการ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน รักษาสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ทำเกษตรแบบเกษตรอินทรีย์ เป้าหมายคือให้ความรู้ พัฒนาทักษะแก่คนพิการและผู้ที่สนใจทั่วไปนำความรู้กลับไปใช้ประกอบอาชีพ หรือปลูกพืชผักสำหรับบริโภคในครัวเรือนได้ เป็นการขยายโอกาสการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน โดยจัดตั้งแบรนด์สำหรับการทำการตลาด ขายผลผลิตด้านการเกษตรของผู้พิการในชื่อว่า 20 ไร่ ออร์กานิคฟาร์ม
"โดยมีผู้พิการที่เข้าอบรมหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง รุ่นที่ 1 จำนวน 35 คน ระยะเวลาการฝึกอบรม 6 เดือน ซึ่งผู้เข้ารับการการอบรมจะได้เรียนทฤษฎีการเกษตรจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเกษตรอินทรีย์ จากนั้นลงพื้นที่ปฏิบัติจริงในพื้นที่ 20 ไร่ ที่ประกอบไปด้วยแปลงปลูก และเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้จึงอยากขอเชิญชวนให้ภาคเอกชนได้ว่าจ้างงานผู้พิการมาตรา 35 ในการอบรมหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อส่งเสริมให้ผู้พิการมีงานทำ มีรายได้สามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน" บาทหลวงภัทรพงศ์ ศรีวรกุลกล่าวในท้ายสุด
ที่มา: คอมมูนิเคชั่น แอนด์ มอร์