ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า "ธุรกิจห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัลได้จารึกความสำเร็จด้วยการมีเครือข่ายห้างสรรพสินค้าในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมถึง 11 ประเทศ 80 เมือง 120 สาขา ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้กว่า 6.7 พันล้านยูโร หรือ 2.6 แสนล้านบาท การรวมกลุ่มเซลฟริดเจสเข้าสู่คอลเลคชั่นห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ของกลุ่มเซ็นทรัล ทำให้บริษัทของเรากลายเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ระดับโลกอย่างแท้จริง ด้วยจำนวนของห้างแฟลกชิปหรูในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำที่มากที่สุดในโลก พร้อมทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลักชัวรี่ระดับแนวหน้า นอกจากนี้ เรายังภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันโดดเด่นถึง 19 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 1 ศตวรรษ และล้วนตั้งอยู่บนทำเลเด่นใจกลางเมืองสำคัญ ของยุโรป อาทิ ลอนดอน ซูริค โรม โคเปนเฮเกน ดับลิน และ เวียนนา"
กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้ริเริ่มการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครสำหรับลูกค้าตั้งแต่เริ่มกิจการ กลุ่มบริษัทเป็นผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นผู้สร้างห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจศูนย์การค้าครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ก้าวแรกที่กลุ่มเซ็นทรัลได้ริเริ่มดำเนินธุรกิจในยุโรป คือการเข้าซื้อกิจการห้างหรู รีนาเชนเต ในประเทศอิตาลี เมื่อปี 2554 ตามด้วยอิลลุม ในปี 2556 กลุ่มคาเดเว ในปี 2558 โกลบุส ในปี 2563 และในปี 2565 ได้เข้าซื้อกิจการของกลุ่มเซลฟริดเจส
"ลักชัวรี่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล เริ่มจากการเข้าซื้อกิจการห้างรีนาเชนเต ซึ่งสอดคล้องกับจังหวะที่แบรนด์ลักชัวรี่ของยุโรปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยกระแสของการท่องเที่ยวทั่วโลก ถึงแม้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนในระยะที่ผ่านมา ตลาดลักชัวรี่ได้แสดงศักยภาพสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการผู้บริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในรอบสิบปีที่ผ่านมากลุ่มเซ็นทรัลได้สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับแบรนด์ลักชัวรี่ยักษ์ใหญ่หลากหลายแบรนด์ ซึ่งได้มีการร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ ของบริษัทตลอดมาเพื่อพัฒนาห้างของเราให้เป็นจุดหมายแห่งการช้อปปิ้งที่โดดเด่น ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของคนท้องถิ่น และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน ปัจจุบันห้างในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัลต้อนรับลูกค้ากว่า 130 ล้านคนต่อปี กว่า 200 เชื้อชาติ และมีสมาชิกกว่า 6 ล้านคน ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จในธุรกิจลักชัวรี่ของกลุ่มเรา" ทศ จิราธิวัฒน์ กล่าว
สำหรับก้าวต่อไป กลุ่มเซ็นทรัลมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ลักชัวรี่ในสองด้าน
กลยุทธ์ที่ 1. พัฒนาและขยายห้างสรรพสินค้าที่มีเอกลักษณ์ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญด้วยการร่วมมือกับลักชัวรี่แบรนด์ การพัฒนาแปลงโฉมห้างสรรพสินค้าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินการในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เช่น LVMH, Kering และ Richemont เพื่อยกระดับและเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เน้นการตกแต่งคุณภาพสูงของห้างและร้านค้า เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า โดยแต่ละห้างได้ถูกออกแบบให้แสดงถึงเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง เพื่อให้คนในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวได้ชื่นชม นอกจากนี้ แต่ละห้างยังมีสินค้าอาหารระดับพรีเมี่ยม และมีร้านอาหารหลากหลายไว้บริการ ซึ่งผู้มาเยือนสามารถสัมผัสความพิเศษเหล่านี้ในโฉมใหม่ของ ห้างคาเดเว ในเบอร์ลิน ห้างรีนาเชนเตในมิลานและโรม และห้างโกลบุส ในซูริก ที่ได้ถูกปรับปรุงและพัฒนาไปเมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในหลายประเทศ รวมถึงการสร้างโครงการใหม่ อีก 3 แห่ง นอกจากนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนศึกษาโอกาสเพื่อพัฒนาเพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทำเลทอง ใจกลางเมืองลอนดอน ที่เซลฟริดเจสแฟลกชิป บนถนนออกซ์ฟอร์ด อีกด้วย (ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาห้างและโครงการใหม่ สามารถอ่านได้ในส่วน เกี่ยวกับบริษัท ตอนท้าย)
กลยุทธ์ที่ 2. ขึ้นแท่นผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และเป็นพันธมิตรคู่ค้าที่มีเครือข่ายทั่วโลกให้กับแบรนด์ลักชัวรี่และแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ ปัจจุบันแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของกลุ่มเซ็นทรัลในยุโรปมียอดจำนวนผู้มาเยือนกว่า 30 ล้านคนต่อเดือน มีการจัดส่งสินค้าไปยังกว่า 130 ประเทศทั่วโลก และสร้างยอดขายได้ถึง 1 พันล้านยูโร (3.8 หมื่นล้านบาท) ต่อปี คิดเป็น 17% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งยอดขายออนไลน์ในต่างประเทศของ Selfridges.com มีสัดส่วนสูงถึง 40% สะท้อนถึงการมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกที่แข็งแกร่ง เทียบได้กับคู่แข่งที่ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดยเฉพาะกลุ่มเซ็นทรัลได้วางยุทธศาสตร์ให้ Selfridges.com เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ลักชัวรี่ระดับโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยเน้นใช้จุดแข็ง ดังนี้ 1) แบรนด์เซลฟริดเจส ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักดีทั่วโลก 2) แบรนด์และสินค้า พร้อมคอลเลคชั่นพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ จากทุกห้างสรรพสินค้าชั้นนำในเครือ 3) เทคโนโลยีล้ำสมัย และฐานข้อมูลลูกค้า ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ และมอบบริการให้ลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคล 4) เครือข่ายห้างสรรพสินค้าใน 11 ประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์และเข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงให้บริการแบบออมนิแชแนล ที่แตกต่างและเหนือกว่าคู่แข่งอีคอมเมิร์ซทั่วไป โดยเฉพาะในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฐานการดำเนินธุรกิจหลักของกลุ่มเซ็นทรัล ลูกค้าของกลุ่มเซ็นทรัลในประเทศไทยจะสามารถเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ลักชัวรี่และคอลเล็คชั่นที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นผ่านช่องทางนี้
สำหรับสมาชิก The 1 ซึ่งปัจจุบันสามารถสะสมแต้ม และได้รับข้อเสนอพิเศษต่างๆ เมื่อช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต อิลลุม และคาเดเว ยังจะสามารถรับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบเดียวกันที่ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจส และห้างสรรพสินค้าอื่นๆ ในยุโรปภายใต้กลุ่มเซ็นทรัลได้เร็วๆ นี้ โดยกลุ่มเซ็นทรัล ยังคงเดินหน้ารังสรรค์สิทธิพิเศษ และประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อเตรียมมอบให้กับสมาชิก The 1 Exclusive ที่ไปช้อปปิ้งในยุโรปอีกด้วย
ทศ จิราธิวัฒน์ กล่าวปิดท้ายว่า "บนเส้นทางกว่า 75 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของกลุ่มเซ็นทรัล มีพื้นฐานมาจากความมุ่งมั่นในการเลือกสรร และนำเสนอประสบการณ์ บริการ และสินค้า ทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกคน โดยเราได้มีโอกาสในการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งกับแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังมีทีมงานที่มีความสามารถโดดเด่นอยู่ทั่วโลก ซึ่งช่วยผลักดันให้ห้างสรรพสินค้าของเราเป็นจุดศูนย์กลางแห่งการใช้ชีวิต หรือ "Central of Life" เรายังมีเป้าหมายในการนำพาชุมชนในทุกเมืองที่เราเข้าไปทำธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาและยกระดับพื้นที่โดยรอบของห้างสรรพสินค้า การสร้างงานและอาชีพ การรักษาไว้ซึ่งมรดกทางประวัติศาสตร์ของแต่ละอาคาร รวมทั้งการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยมีเซลฟริดเจส เป็นผู้นำที่ได้ริเริ่มหลากหลายโครงการด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กลุ่มเซ็นทรัลรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยในเวทีระดับโลก และขอเชิญชวนลูกค้าเซ็นทรัลทุกคนมาร่วมเดินทางสู่การเติบโตก้าวต่อไปพร้อมๆกัน"
ที่มา: กลุ่มเซ็นทรัล