Wai Hong Fong ประธานกรรมการบริหาร (CEO) และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทสโตร์ฮับ กล่าวว่า "ในยุคหลังโควิด การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับยุคนิวนอร์มอล (New Normal) นั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับภาคธุรกิจที่เร่งเดินหน้าเพื่อที่จะกลับมาเปิดกิจการและทำธุรกิจอีกครั้งในขณะที่ปัญหาขาดแคลนแรงงานและความต้องการในด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ที่จะเดินหน้าต่อไปโดยปราศจากเทคโนโลยี"
"ด้วยสิ่งที่เรียกว่า 'Revenge Travel' และ 'Revenge Dining' หรือปรากฎการณ์การกินเที่ยวให้หายแค้นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ ต่างจับตาดู เพื่อสรรหาวิธีการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจและเพิ่มยอดขายจากลูกค้า แพลตฟอร์มสโตร์ฮับสามารถรับออเดอร์ ชำระเงิน และสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติ นั่นทำให้เราเหมือนกับมีพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 10 คนที่สามารถทำงานให้คได้ตลอด 24 ชั่วโมงตลอดสัปดาห์โดยไม่มีข้อผิดพลาด ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรได้มากขึ้น และมีเวลาเหลือมากพอที่จะไปคิดแผนการขยายธุรกิจ หรือแม้กระทั่งมีเวลาว่างสำหรับครอบครัวมากขึ้น"
"ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานี้ สโตร์ฮับมีการทำรายการในระบบไปแล้วกว่า 128 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับมูลค่าเงินเต็มที่ผ่านระบบ (GTV) เพิ่มขึ้นกว่า 40% จากปีที่ผ่านมา และเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับธุรกิจร้านอาหาร มีร้านค้าใหม่ที่เข้ามาใช้บริการแพลตฟอร์มเราเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้นทุนในการดึงร้านค้าใหม่ ๆ เข้ามาใช้บริการนั้นพัฒนาขึ้นอย่างน่าพอใจ โดยสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในเดือนแรก เพื่อเป็นการตอบรับกับความต้องการที่มากขึ้น สโตร์ฮับจึงได้ขยายทีมงานด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นกว่า 100 คนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา"
ปัจจุบันแพลตฟอร์มของสโตร์ฮับมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 15,000 รายทั้งในร้านค้าปลีกและร้านอาหารทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และล่าสุดได้เพิ่มการให้บริการในส่วนของระบบ QR สำหรับสั่งอาหาร ระบบสมัครสมาชิกและสะสมแต้ม รวมถึงระบบสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแบบอัตโนมัติ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการมานั้น สโตร์ฮับได้เป็นส่วนหนึ่งในหลากหลายธุรกิจ SME มากมายในประเทศไทย ตั้งแต่ร้านอาหารและคาเฟ่ เช่น Flash Coffee, Cha Bar BKK, High Tide Eatery ไปจนถึงร้านค้าปลีกอย่าง Bora Korean Mart, Suitcube และยังรวมถึงธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Salondio, OJHAIR และ OnDemand เป็นต้น
ในปี 2564 ที่ผ่านมา สโตร์ฮับสามารถทำรายได้สุทธิจากการเพิ่มค่าเฉลี่ยการใช้งานต่อลูกค้าหนึ่งรายได้ในช่วงสถานการณ์โรคระบาด การระดมทุนรอบล่าสุดนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งาน รวมถึงเพื่อรักษาฐานลูกค้าและลงทุนในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถเพิ่มมูลค่าการใช้งานจากลูกค้าแต่ละคนได้
บริษัท 500 Global ผู้นำการระดมทุนในบริษัทสโตร์ฮับในรอบนี้ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุนแรก ๆ ที่ร่วมการเดิมพันครั้งใหญ่ จนได้สโตร์ฮับเข้ามาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีผลการดำเนินการดีที่สุดของบริษัท โดย Khailee Ng พาร์ทเนอร์ด้านการจัดการ ( Managing Partner) ของบริษัท 500 Global กล่าวว่า "เราเข้าร่วมการระดมทุนรอบแรกในปี 2559 ด้วยเงินทุนเพียง 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เราได้ลงทุนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว"
"หากวิเคราะห์จากบริษัทที่มีความคล้ายคลึงกันอย่าง Toast (NYSE:TOST) นั้นมีมูลค่าราว ๆ 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (9 กันยายน 2565) แต่สโตร์ฮับนั้นมูลค่าถึงหนึ่งในสี่โดยประมาณของขนาดฐานลูกค้าของ Toast ซึ่งยังรวมถึงอีกราว ๆ 2 ล้านธุรกิจที่น่าจับตาทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปินส์ นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนในการสร้างสูตรสำเร็จในการทำธุรกิจในส่วนอื่น ๆ ของโลกด้วย โดยเราเชื่อมั่นว่าสโตร์ฮับนั้นมีมูลค่ามากอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง เพราะตัวบริษัทสโตร์ฮับเองนั้นสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ SMEs อีกมากมาย" Khailee Ng กล่าว
ทั้งนี้ Wai Hong Fong และ Congyu Li ริเริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 2556 เริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นผู้บุกเบิกระบบ Cloud-based SaaS Point of Sales (POS) ในภูมิภาคนี้