นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ที่สืบเนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ทุกองค์กรทั้งในไทยและต่างประเทศต้องร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกไปสู่ธุรกิจยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
โดยในส่วนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Power Producer) โรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ พิษณุโลก ขนาดกำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ ได้รับการขึ้นทะเบียนภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ณ ตั้งแต่ วันที่ 19 กันยายน 2562 (ระยะเวลาการประเมินเครดิต 7 ปี) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ และสามารถนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิต ภายใต้โครงการ T-VER ไปขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจในประเทศได้ ซึ่ง อบก. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการพัฒนาโครงการ ระเบียบวิธีการในการลดก๊าซเรือนกระจก (Methodology) การขึ้นทะเบียนและการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยจะต้องเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดการลด/ ดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทย
ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทฯ ได้ดำเนินการขอรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) จากการดำเนินการผลิตของโรงไฟฟ้าโคลเวอร์ จังหวัดพิษณุโลก นับตั้งแต่ COD จนถึง ณ สิ้นปี 2561 (รวม 3 ปี 5 เดือน) จำนวน 68,114 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ซึ่งล่าสุดทางคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้มีมติรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย CV มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง จำนวน 68,114 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) และมีระยะเวลาการคิดเครดิตของโครงการทั้งสิ้น 7 ปี นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network) และมุ่งมั่นดำเนินการเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกในการดำเนินธุรกิจ เพื่อยกระดับองค์กรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ ตามแนวทาง ESG และการพัฒนาที่ยั่งยืน ตอกย้ำการเป็นผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ที่พร้อมส่งมอบคุณค่า สู่สังคมโลก เพื่อความยั่งยืน
"การที่เราได้รับการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิต จากอบก. ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำการเป็นผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ที่ให้ความสำคัญในการดำเนินการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกโลก ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลโรงอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัทฯ ก็เตรียมพร้อมที่จะนำขึ้นทะเบียนเพื่อรับรองคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานเกี่ยวข้องต่อไป โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Power Producer) ธุรกิจจัดหาและแปรรูปเชื้อเพลิง (Fuel Supply) และธุรกิจด้านวิศวกรรม สู่การเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในอนาคต" นายเศรษฐศิริ กล่าว
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย