บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ("บริษัทฯ") หรือ TEGH เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 เป็นวันแรก ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วไปและสถาบันอย่างดีเยี่ยม โดยเปิดซื้อขายที่ 4.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 3.75% เปรียบเทียบจากราคาไอพีโอที่ 4.80 บาท/หุ้น
นายเฉลิม โกกนุทาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เปิดเผยว่า ราคาหุ้น TEGH ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีมูลค่าการซื้อขายคึกคักอย่างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งธุรกิจยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์มดิบ และพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มยังคงสดใส และในอนาคตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะถือเป็น New S-Curve ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจะทำให้ความต้องการในสินค้ายางธรรมชาติที่เป็น Premium Quality ของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้น รวมถึงบริษัทฯยังมีธุรกิจพลังงานทดแทนและการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นที่ดี ทำให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ บริษัทฯยังเป็นองค์กรที่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ ตามมาตรฐาน Eco Factory และ Green Industry และสินค้ายางธรรมชาติของกลุ่มบริษัทฯ ยังได้รับการรับรอง Carbon Footprint เป็น Low Carbon Product เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยิ่งเป็นปัจจัยตอกย้ำการเติบโตอย่างยั่งยืนและอย่างแท้จริง
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้การต้อนรับบริษัทฯ อย่างอบอุ่น ทีมงานและผู้บริหารของบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยในปีนี้บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตยางแท่งเป็นประมาณ 328,000 ตัน ซึ่งเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว และจะขยายเป็น 416,000 ตันในปีหน้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่ง Top 5 ของประเทศ สำหรับธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบ จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะทำให้เราสามารถขยายกำลังการผลิตได้อีกร้อยละ 42 และธุรกิจพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ บริษัทฯ วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ จาก 23 ล้านลูกบาศก์เมตร ณ ปี 2565 เป็น 67 ล้านลูกบาศก์เมตร ณ ปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 191 และเพิ่มกำลังการผลิตบ่อหมักกากอินทรีย์ประเภทของแข็ง (SOW) เพื่อรองรับเสียที่ได้จากการผลิตยางแท่ง
โดยในปีนี้บริษัทฯ วางแผน COD โครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ ระยะที่ 1 ภายในไตรมาส 4/2565 ซึ่งเดิมบริษัทฯใช้ก๊าซชีวภาพทดแทน LPG ในส่วนของธุรกิจยางพาราได้ถึงร้อยละ 89 และใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนใช้แทนไฟฟ้าจากภายนอกได้ร้อยละ 51 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ เปิดเผยว่า การเข้าเทรดในวันแรกของ TEGH ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯที่มีความแข็งแกร่ง โดยเม็ดเงินที่ได้จากการเสนอขายไอพีโอในครั้งนี้ จะนำไปใช้ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รองรับคำสั่งซื้อสินค้าของลูกค้าที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไร สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต นอกจากนี้ เงินจากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถานบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เชื่อว่า TEGH จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในอนาคต เนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Sustainable Stock, Growth Stock และ Dividend Stock และใช้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยของเสียให้เป็นศูนย์ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ รวมทั้งยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้ในระยะยาว
บริษัทฯ มีเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำด้านการผลิต Sustainable Material เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของกลุ่มลูกค้าและขยายกำลังการผลิตยางแท่งให้ได้ประมาณ 420,000 ตันเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่ง Top 5 ของประเทศ ตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 และเป็นองค์กรที่เน้นการใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลในทุกกระบวนการ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทฯ ได้เป็น Eco Product และมุ่งสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral อย่างแท้จริง
ที่มา: ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์