นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) หรือ โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช (Masterpiece Hospital) เปิดเผยว่า "ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างเดินหน้าเข้ามาระดมทุน เสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวนรวมไม่เกิน 65,000,000 หุ้น คิดเป็น 27.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งหากแผนการระดมทุนแล้วเสร็จ จะทำให้ MASTER ถือเป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมแห่งแรกในตลาดทุน
สะท้อนความมุ่งมั่นของเรา บนเส้นทางการดำเนินธุรกิจกว่า 9 ปี หลังจากก่อตั้งบริษัทฯ ได้พัฒนาและยกระดับ MASTER ให้เป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมครบวงจรยุคใหม่ โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการศัลยกรรมความงามแบบครบวงจร สามารถใช้ประสบการณ์ด้านการวินิจฉัย รักษา และผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และได้รับมาตรฐานระดับสากล เพราะเราเล็งเห็นปลายทางความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทำให้ตัวเองดูดีขึ้น จนเกิดเป็นการบอกต่อ และได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและบริการที่ประทับใจเรื่อยมา"
จุดเด่นของ MASTER ในด้านผู้บริหาร นำโดย "นพ.ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล" มีความเชี่ยวชาญและอยู่ในแวดวงธุรกิจด้านศัลยกรรมและความงามมากว่า 9 ปี เติบโตมาจากธุรกิจคลินิกความงาม ทำให้เล็งเห็นวิวัฒนาการของอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างดี จึงต้องการยกระดับ และป้องกันความเสี่ยง เป็นที่มาของการจัดตั้ง โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช ที่ให้บริการแบบครบวงจรในประเทศไทย เพื่อควบคุมมาตรฐานและความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนสุโขทัย แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมีแพทย์จำนวน 28 ท่าน บุคลากร 361 คน และพื้นที่ให้บริการ 4,267 ตารางเมตร ซึ่งโรงพยาบาลมีห้องผ่าตัดสำหรับศัลยกรรม 7 ห้อง ให้บริการได้สูงสุดรวมกัน 30,660 ชั่วโมง/ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565)
ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้บริหาร ในการเลือกพื้นที่ก่อตั้งโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ สามารถขยายพื้นที่ในการให้บริการเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมองว่าการรวม Center มีข้อดีในเรื่องของการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน และการบริหารจัดการ เมื่อธุรกิจเติบโต จะยิ่งมั่นคง และเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลลูกค้าของ MASTER
อีกทั้งจากผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีทิศทางการเติบโตที่สม่ำเสมอ และมุ่งหวังยกระดับโรงพยาบาลให้เป็น Hub ในด้านศูนย์กลางด้านศัลยกรรมและความงามในประเทศไทย ที่สามารถต้อนรับลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกได้
MASTER มีวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับขยายพื้นที่การให้บริการ เพิ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ปลอดเชื้อที่ได้มาตรฐาน เพิ่มห้องผ่าตัดที่ทันสมัย จึงมีแผนนำเงินระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ปรับปรุงอาคารและห้องผ่าตัด บนพื้นที่โรงพยาบาลแห่งเดิมที่เตรียมรอไว้สำหรับขยายธุรกิจ ใช้จัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับปรับปรุงและขยายพื้นที่ดำเนินงาน รวมทั้ง ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับโครงสร้างการให้บริการและขายผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งเป็น 4 ส่วนดังนี้ 1. บริการด้านศัลยกรรม (Surgery) 2. บริการปลูกผมและดูแลเส้นผม (Hair Transplants and Hair Treatment) 3. บริการดูแลผิวพรรณ (Skin) และ 4. ขายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการหลังศัลยกรรม (Product Sales and Aftercare) โดยบริการด้านศัลยกรรมเป็นสัดส่วนรายได้หลักประมาณ 80% ของรายได้รวมทั้งหมด
"จริงๆ แล้วผมอยากให้วงการการเงินการลงทุนเข้าใจว่า โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Position ของธุรกิจนั้นมีความโดดเด่นและแตกต่าง โดยเราเป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมที่มีที่ตั้งเพียงแห่งเดียวไม่มีสาขา ซึ่งผู้ใช้บริการของเราไม่ได้อยู่เพียงแค่ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังมีผู้ใช้บริการที่อยู่นอกพื้นที่ รวมถึงต่างชาติก็บินตรงมาเพื่อมาใช้บริการกับเราได้ และธุรกิจของเรา การหาลูกค้าใหม่ ทำได้ด้วยตัวลูกค้าเอง เพราะผลลัพธ์ของลูกค้า ก็คือการตลาดที่ดีที่สุด ดังนั้น เรามั่นใจว่า การเข้ามาระดมทุนครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับโรงพยาบาลศัลยกรรมของไทยให้มีการเติบโต มีมาตรฐาน และผลลัพธ์ในด้านความงาม อันเป็นที่ประจักษ์ต่อลูกค้าทั่วโลกได้" นพ.ระวีวัฒน์ กล่าว
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) (MASTER) กล่าวเสริมว่า จุดเด่นและวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของโรงพยาบาล คือ มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านศัลยกรรมแบบครบวงจรอันดับหนึ่งของประเทศไทย และมีทีมแพทย์ครบวงจร รวมถึงด้านผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และมีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง ทำให้มีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการนำระบบ IT มาใช้ในการบริหารจัดการทั้งในส่วนของหน้าบ้าน (งานขาย งานให้บริการลูกค้า) ตลอดจนระบบหลังบ้าน (งานบัญชีการเงิน งานสินค้าคงคลัง งานจัดซื้อ และอื่นฯ) อย่างครบทุกมิติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพในทุกจุด
ด้านผลการดำเนินงาน มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2564 มีรายได้รวม 689.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 162.80 ล้านบาท และงวดไตรมาส 1/2565 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565) บริษัทฯ มีรายได้รวม 240.01 ล้านบาท กำไรสุทธิ 54.97 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 22.91%
ที่มา: ไออาร์ พลัส