ตลาดหุ้นไทย "ไตรมาส 4 ดูดีกว่าทุกไตรมาส" แนะนำลงทุนหุ้น Domestic Play ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และเสริมเกราะการลงทุนด้วยหุ้นในกลุ่ม Defensive

จันทร์ ๑๐ ตุลาคม ๒๐๒๒ ๑๓:๑๔
สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาที่ถูกปัจจัยลบจากภายนอกกดดัน อาทิ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน , การเร่งตัวของเงินเฟ้อ, การดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของ FED และความเสี่ยงเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ Recession ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นได้ดูดซับกับประเด็นดังกล่าวไปมาก ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังมีน้ำหนักในทางบวกจากทิศทางเศรษฐกิจฟื้นตัว ค่าเงินบาทมีทิศทางชะลอการอ่อนค่าประกอบ Valuation ที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ เป็นปัจจัยดึงดูด Flow หนุน SET Index ช่วง 4Q65 สู่เป้าหมาย Target ณ สิ้นปีที่ 1,730 จุด
ตลาดหุ้นไทย ไตรมาส 4 ดูดีกว่าทุกไตรมาส แนะนำลงทุนหุ้น Domestic Play ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และเสริมเกราะการลงทุนด้วยหุ้นในกลุ่ม Defensive

คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วง 4Q65 ได้ผ่านจุดที่ถูกแรงกดดันสูงสุดจากปัจจัยภายนอกไปแล้ว เริ่มจาก 1) สงคราม รัสเซีย-ยูเครน ตลาดตอบรับมานานกว่า 7 เดือน หากความเสี่ยงถูกจำกัดเฉพาะในพื้นที่ยูเครนและไม่นำสู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกันผลกระทบมายังตลาดหุ้นจะไม่มาก 2) อัตราเงินเฟ้อหลายประเทศมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดหลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ปรับลงใกล้เคียงกับช่วงต้นปี ทำให้แรงกดดันต่อการใช้นโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางต่างๆลดลง 3) การดำเนินนโยบายทางการเงินเชิงรุกใกล้เข้าสู่ช่วงท้าย โดยเฉพาะ Fed ที่ตลาดคาดช่วงที่เหลือของปีจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1% และปีหน้าอีก 0.25% ก่อนที่จะลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง 4) ทิศทางเศรษฐกิจหลายประเทศที่ชะลอลง โดยสหรัฐฯ เกิดภาวะ Technical Recession ไปแล้ว, เศรษฐกิจ อังกฤษ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ชะลอลงหลัง GDP ไตรมาส 2 ติดลบ แต่อย่างไรก็ตามการทยอยปรับลดคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจต่างๆสะท้อนถึงการรับรู้ของตลาดไปในระดับหนึ่ง

ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังอยู่ในโหมดฟื้นตัวตามหลังการเปิดประเทศที่ได้แรงหนุนจากภาคการบริโภคในประเทศ การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนมากกว่าการเยียวยาหลังผ่านช่วง COVID-19 ขณะที่ในมุมกำไรบริษัทจดทะเบียนบ้านเราที่ขยายตัวได้ดี โดยฝ่ายวิจัยประเมิน EPS65F ที่ 96.1 บาท/หุ้น เติบโต 12%yoy และ EPS66F ที่ 101.1 บาท/หุ้น เติบโต 5%yoy ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงิน ธปท.ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยฯแต่ยังดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเชื่อว่าดอกเบี้ยฯ ณ สิ้นปีที่ 1.25% เทียบกับสหรัฐฯ 4.25% ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทในช่วง 4Q65 เชื่อว่าจะชะลอการอ่อนค่าจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงตามราคาพลังงานที่ปรับลงซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของการขาดดุลการค้า เช่นเดียวกับดุลบริการที่จะดีขึ้นตามตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มเข้าสู่ High Season

ทิศทางเศรษฐกิจในประเทศและผลประกอบการบริษัทฯที่มีแนวโน้มขยายตัวโดดเด่นสวนกระแสโลก ขณะที่ความเสี่ยง Fx Loss ลดลงจะเป็นปัจจัยดึงดูด Fund Flow ไหลเข้าหนุน SET Index ช่วง 4Q65 ขยับขึ้นโดยคงเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปีไว้ที่ 1730 จุด หรือคิดเป็นระดับ Market Earning Yield Gap ที่ 4.3% มากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 4.2% กลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น Domestic หลีกเลี่ยงความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ADVANC, ASK, BBL, BEM, CENTEL, HMPRO, GULF

คุณอภิชญา ไชยฤกษ์ ฝ่ายลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ บล.เอเซีย พลัส มองว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นต่างประเทศถือว่ามีความผันผวนสูง เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารกลางหลายประเทศมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อยับยั้งเงินเฟ้อ รวมทั้งสถานการณ์อื่นๆในหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติทางด้านพลังงานในฝั่งยุโรป สงครามระหว่างรัซเซีย-ยูเครน และ ปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ในจีน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจว่าจะชะลอตัวในระยะข้างหน้า ทำให้มีการลดความเสี่ยงของพอร์ต ส่งผลให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวลดลง เช่น ดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลดลงกว่า 23% ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี ได้รับผลกระทบมากสุดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับตัวสูงขึ้น ก็ปรับตัวลดลงกว่า 31% เช่นกัน แต่อย่างไรก็ดียังมีหุ้นบางกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด นั่นก็คือหุ้นในกลุ่ม Defensive อย่าง Healthcare สะท้อนผ่านดัชนี Health Care Select Sector ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับตัวลดลงไปเพียง 12% เท่านั้นถือว่าปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดโดยภาพรวม

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหรือช่วงที่มีความผันผวนสูง ทางเลือกในการเพิ่มน้ำหนักไปในหุ้น Defensive ก็นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงได้ เป็นผลมาจากค่าเบต้า (ค่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับตลาด) ที่ต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้วหุ้น Defensive จะมีค่าเบต้าที่น้อยกว่า 1 ตัวอย่างเช่น หากตลาดปรับตัวลง 2% หุ้น Defensive มักมีแนวโน้มจะปรับตัวลงน้อยกว่า 2% โดยหุ้น Defensive หมายถึงหุ้นที่บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และมีรายได้อย่างมั่นคง จากความต้องการในตัวสินค้าหรือบริการที่มีอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้มีเสถียรภาพเมื่อต้องเผชิญกับช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อ้างอิงจากข้อมูลของ Refinitiv IBES ในอดีต พบว่าในช่วงปี 2007-2009 ที่เกิดเศรษฐกิจถดถอย กำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ลดลง 9 ไตรมาสติดต่อกัน แต่กลุ่ม Healthcare ยังสามารถสร้างกำไรเติบโตได้ในช่วงเวลาดังกล่าว

ตัวอย่างหุ้นในกลุ่ม Healthcare ฝั่งสหรัฐฯ ได้แก่ United Health (UNH US) เป็นบริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯหากวัดโดยมูลค่าตลาดและรายได้ ประกอบธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ ประกันสุขภาพส่วนบุคคล ประกันสุขภาพสำหรับองค์กร รวมถึงธุรกิจรักษาโรคทั้งในรูปแบบคลินิกและออนไลน์และระบบ Software ที่ใช้ทางการแพทย์ โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันอยู่ 2.7% สูงกว่าตลาดหุ้นโดยภาพรวมที่ดัชนี S&P 500 ปรับลงถึง 23% หรืออีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่ล้อไปกับกลุ่ม Healthcare ก็คือการลงทุนผ่าน ETF ได้แก่ Health Care Select Sector SPDR(R) Fund (XLV US) ซึ่งกระจายการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ สัญชาติอเมริกัน ผู้ผลิตยา อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงผู้ให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จำนวน 66 บริษัท เช่น United Health (UNH US) Johnson & Johnson (JNJ US) Pfizer Inc.(PFE US) เป็นต้น แม้ผลตอบแทนปรับตัวลดลง 12% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังทำผลตอบแทนชนะตลาดโดยรวมได้

คุณภาดร สุขสวัสดิ์ ฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า จากผลกระทบของนโยบายการเงินที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่ 4 เริ่มมีทิศทางที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ระดับสูง จะเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้ธนาคารกลางหลักของโลกยังคงต้องมีท่าทีเข้มงวดทางการเงินอย่างต่อเนื่อง และยังคงเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป ดังนั้นคำแนะนำการลงทุนในไตรมาส 4 นี้ ควรมองหากลุ่มธุรกิจที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ มีการจ่ายปันผลสูง มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งมักปรับตัวลงน้อยหรือปรับขึ้นได้ดีกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่ม Healthcare, Consumer Staple และ Telecommunication

ที่มา: เอเซีย พลัส

ตลาดหุ้นไทย ไตรมาส 4 ดูดีกว่าทุกไตรมาส แนะนำลงทุนหุ้น Domestic Play ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และเสริมเกราะการลงทุนด้วยหุ้นในกลุ่ม Defensive

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ