นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ในระยะข้างหน้าสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลกยังคงมีความเสี่ยงจากหลากปัจจัย ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่แม้จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลว่าในปี 2566 เศรษฐกิจทั่วโลกจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สถานการณ์เช่นนี้ บลจ.ทิสโก้มองว่า "หุ้นปันผล" เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับการลงทุน รวมถึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม และจากข้อมูลในอดีตพบว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้มักจะปรับเพิ่มขึ้นได้ดีหลังจาก Fed ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย*
ดังนั้น บลจ.ทิสโก้ จึงเปิดเสนอขายกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ไฮ ดิวิเดนด์ ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟตราสารทุนต่างประเทศในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ หรือบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตของการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้นอย่างยั่งยืน เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) 17 - 26 ตุลาคม 2565
โดยในเบื้องต้นบริษัทจัดการจะลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ 2 กองทุน ได้แก่ 1. กองทุน JPMorgan Investment Funds - Global Dividend Fund มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่สามารถสร้างรายได้ในระดับสูง โดยเลือกลงทุนในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ มีแนวโน้มของการเติบโตของการจ่ายเงินปันผลอย่างยั่งยืน ซึ่งในบางช่วงเวลากองทุนอาจลงทุนกระจุกตัวในบางหลักทรัพย์ หมวดอุตสาหกรรมหรือกลุ่มประเทศ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุนให้เติบโตในระยะยาว
และ 2. กองทุน DWS Invest Top Dividend Fund มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลกที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยปัจจัยสำคัญที่กองทุนใช้ในการพิจารณาคัดเลือกหุ้น ได้แก่ ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด การเติบโตและความยั่งยืนของผลตอบแทนจากเงินปันผล การเติบโตของกำไรในอดีตและอนาคต อัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น และปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
สำหรับตัวอย่างบริษัทที่กองทุนจะเข้าไปลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ เช่น Johnson & Johnson บริษัทสหรัฐฯ ผู้นำในธุรกิจสุขภาพและทางการแพทย์ขนาดใหญ่ระดับโลก ซึ่งบลูมเบิร์กคาดว่าในปี 2565 จะจ่ายปันผลในอัตรา 4.37 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น และคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้าจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นอีก 5.34% ต่อปี ต่อมาคือ Texas Instruments บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน Semiconductor ในสินค้ามากมายหลายอุตสาหกรรมครอบคลุมทั้งอุปกรณ์ในโรงงาน ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์คำนวณทางวิทยาศาสตร์ บลูมเบิร์กคาดว่าในปี 2565 จะจ่ายปันผลในอัตรา 4.68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้นและคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้าจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นอีก 7.78% ต่อปี
อีกตัวอย่างคือ บริษัท TC Energy ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในการขนส่งก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ของเหลว แห่งอเมริกาเหนือ มีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และจ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีธุรกิจที่หลากหลายพร้อมขยายกิจการไปยังธุรกิจใหม่ มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง มีหนี้สินต่ำ บริษัทจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 7% ในช่วง 21 ปี ที่ผ่านมา และคาดว่าจ่ายปันผลเพิ่มขึ้น 3-5% ต่อปีในอนาคต
พิเศษ สำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่มียอดลงทุนสะสมในกองทุน TGHIDIV ในช่วงเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 17-26 ตุลาคม 2565 โดยลูกค้าที่มียอดเงินลงทุนทุกๆ 50,000 บาทจะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) มูลค่า 100 บาท สูงสุด 5,000 บาท
ทั้งนี้ กองทุนอาจมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งกองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการกองทุน ผู้ลงทุนทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป