นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี
อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าการรวมกิจการกับ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ SCGL ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ได้มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติแผนการรวมกิจการระหว่าง JWD และ SCGL โดยการทำธุรกรรมดังกล่าว JWD จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 791,020,363 ล้านหุ้น และเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ SCGL ที่ราคาหุ้นละ 24.02 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนการรับโอนหุ้นสามัญทั้งหมดของ SCGL โดยวิธีแลกหุ้น (Share Swap) โดยภายหลังการแลกหุ้นแล้วเสร็จผู้ถือหุ้นเดิมของ SCGL จะเข้ามาถือหุ้นใน JWD ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 43.7 ของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ JWD ภายหลังการเข้าทำธุรกรรม
ทั้งนี้ JWD จะจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2565 ในวันที่ 8 ธันวาคม 2565 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมบรรทัดทอง ชั้น 6 อาคาร JWD Store it! Siam และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม (Record Date) ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติแผนการรวมกิจการ และการลดทุนและเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เป็น 905,510,153.00 บาท จากเดิม 509,999,971.50 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว และคาดว่าการทำธุรกรรมการรวมกิจการของ SCGL และ JWD จะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2566
หลังจากนั้น JWD จะดำเนินการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) โดยใช้ตัวย่อ "SJWD" ในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริหารงานโดยมี Co-CEO (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม) ร่วมกันบริหารงานได้แก่ นายบรรณ เกษมทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่ม SCGL และ นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ซึ่งเป็นตัวแทนจาก JWD ทั้งนี้ SCGJWD จะดำเนินการปรับโครงสร้างภายในเพิ่มเติมภายหลังการรวมกิจการ โดย SCGJWD จะรับโอนกิจการทั้งหมด Entire Business Transfer (EBT) ของ SCGL ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566
การรวมกิจการครั้งนี้ เป็นการผสานจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ด้านความเป็นผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้าเฉพาะทางของ JWD เช่น สินค้าควบคุมอุณหภูมิ สินค้าอันตราย และรถยนต์ เป็นต้น และด้านความชำนาญสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมของ SCG เช่น เหล็กและวัสดุก่อสร้าง กระดาษและบรรจุภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำและรูปแบบการให้บริการที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งบริการคลังสินค้า ซัพพลายเชน การขนส่งสินค้าแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ รวมถึงโอกาสในการสร้าง synergy เพิ่มเติมในอนาคต นอกจากนี้ฐานลูกค้าของทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญ สามารถสร้างการเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าของทั้งสองผ่าย และการได้ฐานลูกค้ารายใหญ่ภายในเครือ SCG ช่วยรักษาการเติบโตและลดความผันผวนของธุรกิจได้เป็นอย่างดี
ในด้านต้นทุนและการบริหาร การรวมกิจการจะทำให้ SCGJWD ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียนทันที ส่งผลให้ได้ประโยชน์จากขนาดกิจการที่ใหญ่ขึ้น การรวมกันของหน่วยงานสนับสนุนที่สำคัญ รวมถึงสามารถส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับโอกาสทางธุรกิจที่เราวางแผนร่วมกันมีทั้งหมด 5 ส่วน (1) การเพิ่มรายได้จากการ Cross-Sale และ Up-Sale จากฐานลูกค้าเดิมของ SCGL และ JWD เพื่อเพิ่มรายได้และการประหยัดต้นทุน (2) การสร้างมูลค่าเพิ่มในบริการเดิมที่แต่ละฝ่ายมีความชำนาญเช่น คลังห้องเย็น ลานจอดรถยนต์ คลังสินค้าอันตราย การขนส่งแบบต่อเนื่องหลายรูปแบบ เป็นต้น (3) การเชื่อมต่อฐานการให้บริการในภูมิภาคอาเซียนแบบไร้รอยต่อ โดยนำ Business Model ที่ประสบความสำเร็จในไทย ไปสร้างการเติบโตในต่างประเทศ (4) ให้บริการแบบ D2C (Direct to Consumer) ตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ผ่านบริการ ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า, โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, การขนส่งแบบด่วน และ (5) พัฒนาขอบเขตการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม บริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับจัดการโลจิสติกส์ เป็นต้น
"ดีลรวมกิจการครั้งนี้เป็นดีลใหญ่และสำคัญ ที่เราพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้น และจะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทายและผันผวน ทั้ง JWD และ SCGL ต่างเป็นจิ๊กซอว์ที่ลงตัว มีฐานลูกค้าที่แตกต่าง สามารเสริมแกร่งซึ่งกันและกัน ภายใต้ศักยภาพของ SCGJWD เราจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดอย่างยั่งยืน และสามารถส่งมอบโซลูชั่นส์ที่เป็น One Stop Service อย่างแท้จริง"
นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า การรวมกิจการกับ JWD ถือเป็นการผสมผสานความเชี่ยวชาญของ 2 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมโลจิติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นและทำให้การเติบโตของธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดย SCGL มีความเชี่ยวชาญการให้บริการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ จากการให้บริการขนส่งสินค้าแก่บริษัทในเครือ SCG และลูกค้าทั่วไป รวมถึงการลงทุนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีไอทีมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบควบคุมการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน (Control Tower), ระบบ Telematics เพื่อติดตามข้อมูลการขับขี่และแจ้งเตือนคนขับ, ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) ฯลฯ รวมถึงมีโรงเรียนทักษะพิพัฒน์ เพื่อฝึกทักษะการขับขี่ปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่รถบรรทุก รถโฟล์คลิฟท์
ขณะเดียวกัน SCGL มีการดำเนินธุรกิจในหลายประเทศจากการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่ม SCG เช่นในประเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย จีน กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยสามารถให้บริการขนส่งสินค้าข้ามแดนจากไทย สปป.ลาว เวียดนาม ไปยังจีน และมีธุรกิจเรือลำเลียงสินค้า (Barge) ที่สามารถขนส่งสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา รวมถึงมีธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางเรือ ซึ่งสามารถร่วมกับ JWD ขยายเส้นทางให้บริการไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้ SCGL มีแผนขยายบริการโลจิสติกส์ทางรางและทางอากาศ ซึ่งเมื่อรวมกับ JWD แล้ว จะสามารถขยายเครือข่ายการให้บริการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบที่มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจ เนื่องจากการขนส่งสินค้าทางเรือและทางราง มีต้นทุนต่ำกว่าทางรถ โดยฐานลูกค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะเพิ่มโอกาสขนส่งสินค้าได้ทั้งขาไปและขากลับ นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกับเรื่อง Sustainability เช่น การเป็น "Green Logistic" มุ่งเน้นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการลดการใช้พลังงาน ทั้งการนำรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้ และการใช้พลังงานจาก Solar Roof ภายในคลังสินค้า เป็นต้น
ด้านความร่วมมือในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ มองว่าเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีศักยภาพจากอัตราเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคนี้ จึงมีความต้องการคลังสินค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม และสามารถขยายการลงทุนสร้างคลังสินค้าเพิ่มเติมในประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตในระดับภูมิภาค
"เมื่อรวมกันแล้ว เราจะกลายเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ที่มีจุดเด่นด้านการให้บริการโลจิกติกส์และซัพพลายเชนแบบครบวงจร (Integrated Logistics and Supply Chain Solutions Provider) ที่ครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งทั้งในด้านความเป็นมืออาชีพของ SCGL และประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการให้บริการโลจิสติกส์เฉพาะด้าน (Specialized) ของ JWD กลายเป็นผู้นำธุรกิจในภูมิภาคนี้" นายบรรณกล่าว
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย