เบื้องหลังของการวางระบบสุขภาพปฐมภูมิดังกล่าวของประเทศไทยส่วนหนึ่งเป็นการทำงานศึกษาวิจัยและร่วมในกระบวนการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง โดยสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีพันธกิจหลักในการส่งเสริมและสนับสนุนการวางระบบสาธารณสุขมูลฐานของประเทศที่ผ่านมา
นายแพทย์ถาวร สกุลพาณิชย์ อดีตที่ปรึกษาระดับกระทรวงกระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันดำรงตำแหน่งอนุกรรมการพัฒนาการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ ภายใต้คณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ และที่ปรึกษาผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล
โดยได้กล่าวถึงทิศทางในการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศตามประกาศคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ เรื่อง บริการสุขภาพปฐมภูมิที่บุคคลมีสิทธิได้รับพ.ศ.2563 นั้น จะมุ่งสู่การดูแลแบบองค์รวม ตั้งแต่แรก ต่อเนื่อง และผสมผสาน ครอบคลุม ระยะเฉียบพลัน ระยะกลางระยะเรื้อรัง ระยะยาว ระยะประคับประคอง และระยะท้ายของชีวิต ซึ่งบริการหลายอย่างยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติม
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดโรคหลอดเลือดสมอง หลังผ่าตัดถ้าจำเป็นต้องมีการดูแลระยะกลางเพื่อฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย จะมีจัดบริการแบบต่อเนื่องจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน โดยส่งต่อเข้าระบบสุขภาพปฐมภูมิ เพื่อเข้ารับการฟื้นฟู อาทิ การฝึกทำกายภาพบำบัด การฝึกพูด ฯลฯ ซึ่งสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมรับหน้าที่ศึกษาวิจัยและฝึกอบรมเพื่อให้การวางระบบส่งต่อเป็นไปอย่างเหมาะสม และให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับบริการที่ตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด
การดำเนินการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของคนไทยทุกคนมีสิทธิเข้าถึงบริการ
โดยแนวคิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านั้น ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อคนไทย ยังเป็นนวัตกรรมที่สามารถขยายไปเป็นบทเรียนของการจัดระบบสุขภาพโลก (Global health)
มหาวิทยาลัยมหิดล โดยสถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน ได้มีการลงนามความร่วมมือกับ องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ(International Labour Organization; ILO) เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในเรื่องการพัฒนาความมั่นคงทางสังคมด้านสุขภาพ (หลักประกันสุขภาพ) ในระดับภูมิภาค(Connect) รวมทั้งร่วมกันพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่ทำงานเรื่องนี้ โดยขยายหลักสูตรระดับปริญญาโทสาธารณสุขมูลฐานมหาบัณฑิต (หลักสูตรนานาชาติ) ให้มีวิชาเลือกการจัดระบบบริการสาธารณสุข และการจัดระบบหลักประกันสุขภาพ
นอกจากนั้น สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยเชิงนโยบาย เช่นร่วมกับ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA: Japan International Cooperation Agency) และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประเมินผลการดำเนินการพัฒนาการดูแลระยะกลางในพื้นที่ 8 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ กรุงเทพฯขอนแก่น ชลบุรี นครราชสีมา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และนนทบุรี เพื่อสังเคราะห์บทเรียน และเสนอเป็นนโยบายในระดับประเทศต่อไป
ต่อจากนี้ไปเราจะได้เห็นบทบาท "ชุมชนเพื่อชุมชน" ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นจากระบบสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งจะเป็นแกนขับเคลื่อนระบบสุขภาพของไทยให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพให้กับทุกครอบครัว ชุมชน รับผิดชอบช่วยจัดการส่งต่อ และดูแลต่อเนื่องกับระบบสุขภาพทุติยภูมิ และตติยภูมิ ซึ่งได้แก่โรงพยาบาลขนาดกลาง และขนาดใหญ่
มหาวิทยาลัยมหิดล โดย สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียนพร้อมทำหน้าที่ "ปัญญาของแผ่นดิน" สร้างองค์ความรู้ และเคียงข้างปวงชนชาวไทย ขอเพียงประชาชนให้ความเชื่อมั่นเราพร้อมทำให้ภาษีทุกบาททุกสตางค์ของประชาชนเกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมโอกาสในการเข้ารับบริการเพื่อสุขภาพดีถ้วนหน้าอย่างทั่วถึงและยั่งยืนตลอดไป
สัมภาษณ์ และเขียนข่าวโดย ฐิติรัตน์ เดชพรหม นักประชาสัมพันธ์ (ชำนาญการ) งานสื่อสารองค์กร กองบริหารงานทั่วไป สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โทร. 0-2849-6210
ที่มา: มหาวิทยาลัยมหิดล