การเข้าลงทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายความเสี่ยงและเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจใหม่ตามกลยุทธ์ที่บริษัทได้วางเอาไว้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ NCL และ AWS ในการสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
"คณะผู้บริหารและคณะกรรมการได้เล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของธุรกิจด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) จากแนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาทของโควิด-19 จำนวนบัญชีหลักทรัพย์และปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ AWS ถือเป็นหนึ่งในบริษัทหลักทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีบริการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจร โดยที่ผ่าน AWS มีรายได้อยู่ที่ 200-260 ล้านบาทและมีอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ร้อยละ 13.4 ในปี 2564 บริษัทฯ คาดว่าการเข้าซื้อกิจการจะแล้วเสร็จภายในช่วงไตรมาสที่ 4/2565 นี้ และภายหลังการทำรายการจะทำให้ AWS กลายเป็นบริษัทย่อยของ NCL โดยที่ลูกค้าของ AWS มั่นใจได้ว่าบริการต่างๆ จะยังคงดำเนินต่อไปตามปกติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมร่วมต่อยอดและพัฒนาบริการต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับลูกค้าของ AWS ต่อไป" นายพงษ์เทพ กล่าว
AWS ดำเนินธุรกิจด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาทางการเงินและบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) โดยเน้นการให้บริการด้านการเงินแบบครบวงจรตอบรับความต้องการทั้งตลาดตราสารหนี้, ตราสารทุน, และรวมไปถึงบริการวาณิชธนกิจ โดยมุ่งเน้นการบริหารความมั่งคั่งแก่ลูกค้าและผู้ลงทุนผ่านทีมการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนมืออาชีพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เครื่องมือบริหารการลงทุนและความเสี่ยงที่ทันสมัย มีคุณภาพตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมให้ความสำคัญกับระบบการตรวจสอบที่รัดกุม ตลอดจนนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการให้บริการใหม่ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและผู้ลงทุนได้อย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ AWS มีแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคมให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคลากรให้มีความรู้ความสามารถและศักยภาพในระดับสากลเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอันจะเกิดขึ้นเนื่องจากความร่วมมือระหว่างกันของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
ที่มา: เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์