บมจ.แอดเทค ฮับ ("ADD") ส่งสัญญาณปี 2566 ฟ้าเปิดอุตสาหกรรมคอนเทนต์กลับมาคึกคัก หลังเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ พร้อมประกาศกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ผ่าน 2 กลยุทธ์หลัก Organic และ Inorganic ขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างมั่นคง ด้าน CFO "สมโภช ทนุตันติวงศ์" ย้ำปีนี้มุ่งรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิใกล้เคียง 20% เป็นหลัก หลังแจ้งงบ 9 เดือนแรกของปี 65 มีรายได้รวมจากการให้บริการ 262.20 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 44.16 ล้านบาท ล่าสุดบอร์ดอนุมัติเข้าลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ HWTHAI บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำของไต้หวัน 60% และจ่ายปันผลเงินสดอีก 0.04 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้น XD วันที่ 21 พ.ย. เพื่อจ่ายปันผลในวันที่ 7 ธ.ค. นี้
นายสมโภช ทนุตันติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ("ADD") ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมในปี 2566 จะมีการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตามเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่มีแนวโน้มคึกคักมากขึ้นจากการกลับสู่สภาวะปรกติหลัง COVID และปัญหาเงินเฟ้อลดลง อีกทั้งผู้เล่นในตลาดมือถือน่าจะแข่งขันกันน้อยลง ก็น่าจะช่วยให้รายได้และกำไรของอุตสาหกรรมดีขึ้น
ทั้งนี้สำหรับในปี 2566 บริษัทฯวางเกมรุกผ่านการขับเคลื่อนภายใต้ 2 กลยุทธ์ คือ ทั้ง Organic และ Inorganic โดยกลยุทธ์ด้าน Organic คือ การเติบโตจากการดำเนินงานภายใต้ธุรกิจเดิม โดยการขยายโปรเจคคอนเทนต์และโซลูชั่นใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มฐานรายได้จากโปรเจคที่ทำกับค่ายมือถือต่าง ๆ ให้มั่นคงมากขึ้น จากที่มีการชะลอการใช้จ่ายของกลุ่มผู้บริโภคที่ลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ
ในขณะที่กลยุทธ์ด้าน Inorganic คือ การเติบโตจากภายนอก ซึ่งจะเป็นการมองหาการลงทุนในกลุ่มบริษัทใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่อต่อยอดธุรกิจและเป็นการกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพิงรายได้จากค่ายมือถือแต่เพียงอย่างเดียว ที่สำคัญยังสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการรับงานโปรเจคใหม่ ๆ ของบริษัท นอกจากการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ ทั้งนี้หากแผนการวางกลยุทธ์ดังกล่าวเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ก็จะส่งผลให้ภาพรวมของผลการดำเนินงานทางธุรกิจของ ADD ในปี 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ. แอดเทค ฮับ "ADD" ยังได้กล่าวถึงการเข้าไปลงทุนในบริษัท เซเว่น คอนเนค แอดไวซอรี่ จำกัด ("7C") ซึ่งดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชี การวางระบบควบคุมภายใน การปรับโครงสร้างกิจการ การควบรวมกิจการ และที่ปรึกษาในการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า การลงทุนดังกล่าวจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและมีนัยสำคัญให้กับ ADD ได้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งกล่าวยอมรับว่า การเข้าลงทุนใน "7C" ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการต่อยอดและสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในเรื่องของผลการดำเนินงานของบริษัทฯให้เติบโตได้อย่างมั่นคงมากขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน ยังสามารถต่อยอดความรู้ด้านเทคโนโลยีของบริษัทฯ ในการนำเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัล (Digital Transformation) เข้ามาช่วยในการวางรากฐานระบบการทำงานและการดำเนินธุรกิจ ให้แก่บริษัทที่กำลังเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเสริมสร้างกันทางธุรกิจในระยะยาว
นอกจากนื้บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยี (IT) เพิ่มเติม ทั้งนี้เพื่อเสริมศักยภาพในการขยายงานโครงการ IT ใหม่ๆ และถือเป็นการสอดรับกับการต่อยอด ในการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน
ล่าสุดที่ประชุมบอร์ดได้มีมติเข้าลงทุนใน บริษัท ไฮเว็บ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด (HWTHAI) โดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุน จำนน 60,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 6 ล้านบาท จาก Hyweb Technology Co., Ltd (HT) ส่งผลให้ ADD มีสิทธิในการถือหุ้นใน HWTHAI ในสัดส่วนร้อยละ 60 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด และด้าน Hyweb Technology Co.,Ltd (HT) จะมีสัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือร้อยละ 40
สำหรับ Hyweb Technology Co.,Ltd (HT) เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำในไต้หวัน โดยก่อตั้งในปี 2541 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวันในปี 2546 โดย HT เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นครบวงจรให้แก่ ธนาคาร รัฐบาล ห้องสมุด และบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม โดย HT มีความเชี่ยวชาญในการวิจัย และพัฒนาระบบและซอฟต์แวร์หลากหลายประเภท ซึ่งจะเป็นการต่อยอดธุรกิจของ ADD ได้อย่างลงตัว
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.แอดเทค ฮับ "ADD" กล่าวว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการ จำนวน 72.11 ล้านบาท ลดลง 41.99% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ใช้บริการมีการใช้จ่ายเพื่อใช้บริการดิจิทัลคอนเทนต์โดยเฉลี่ยลดลง ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ใช้บริการดิจิทัลคอนเทนต์โดยเฉลี่ยแล้วมีจำนวนเพิ่มขึ้นก็ตาม โดยในไตรมาส 3/2565 จำนวนผู้ใช้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ เฉลี่ย 5.79 ล้านรายต่อเดือน เพิ่มจากไตรมาส 3/2564 ซึ่งมีจำนวนเฉลี่ย 5.09 ล้านรายต่อเดือน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 13.66% ขณะที่กำไรขั้นต้นมีจำนวน 20.62 ล้านบาท ลดลง 45.24% ดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 28.60% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 30.30% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ระดับ 9.29 ล้านบาท
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 รายได้จากการให้บริการ มีจำนวน 262.20 ล้านบาท ลดลง 32.26% และกำไรสุทธิ 44.16 ล้านบาท แม้จำนวนผู้ใช้บริการดิจิทัลคอนเทนต์มีจำนวนเฉลี่ย 6.44 ล้านรายต่อเดือน เพิ่มขึ้น 49.67 % จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ขณะที่กำไรขั้นต้นมีจำนวน 77.04 ล้านบาท ลดลง 36.19% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 29.38% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 31.19% โดยสาเหตุหลักของการใช้จ่ายลดลงมาจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ประสบกับภาวะเงินเฟ้อทำให้กำลังซื้อขงผู้บริโภคลดลง ประกอบกับความกังวลของผู้ใช้บริการที่มีต่อภาวะเงินเฟ้อในอนาคตจึงทำให้ผู้ใช้บริการมีการระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯพยายามมุ่งรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิให้ใกล้เคียง 20% เช่นเดิม จากการรักษาฐานรายได้จากการให้บริการไปในทิศทางเดียวกันกับอุตสาหกรรมมือถือที่ค่อนข้างทรงตัว
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 01 ก.ค. 2565 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record date) วันที่ 22 พ.ย. 2565 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) วันที่ 21 พ.ย. 2565 เพื่อจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 ธ.ค. 2565
ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์