'บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) หรือ SFT' หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 ทำรายได้รวม 235.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% และมีกำไรสุทธิ 23.11 ล้านบาท หลังประสบความสำเร็จการขยายฐานลูกค้าใหม่ ส่งผลให้รายได้จากระบบการพิมพ์ดิจิทัลและบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อนเพิ่มขึ้น หนุน 9 เดือนแรกปีนี้มีรายได้รวม 659.81 ล้านบาท เติบโต 5.1% พร้อมเร่งติดตั้งเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่ เตรียมรับออเดอร์จากจังหวะเศรษฐกิจฟื้นในปีถัดไป
นายซุง ชง ทอย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SFT หนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 3/2565 (กรกฎาคม - กันยายน) บริษัทฯ มีรายได้รวม 235.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 23.11 ล้านบาท โดยความสำเร็จดังกล่าวมาจากการขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ให้เข้ามาใช้บริการพิมพ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในระบบการพิมพ์แบบดิจิทัลและบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน (Flexible Packaging) เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้จากระบบการพิมพ์แบบดิจิทัลปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยผลักดันภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม - กันยายน) มีรายได้รวม 659.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการนำศักยภาพการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปเข้าไปตอบสนองความต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่แบรนด์สินค้าของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ SFT ยังได้รับรองจากสมาคมผู้รีไซเคิลพลาสติกให้กับผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปภายใต้ชื่อ Green Shrink ตอกย้ำความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน จากการนำเสนอนวัตกรรมฉลากฟิล์มหดรัดรูปที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 4 ประเภท ใช้ฟิล์มที่ไม่มีและมีส่วนผสมของเม็ดพลาสติกรีไซเคิล 30% และผงหมึกชนิดพิเศษสามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% ทำให้ฉลากฟิล์มหดรัดรูป Green Packaging สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นต่อสิ่งแวดล้อมสอดรับกับกระแสเทรนด์ของโลก
ส่วนปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบที่เร่งตัวขึ้นในไตรมาส 3 เมื่อผนวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและการเกิดอุทกภัยได้ฉุดให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลง ทำให้ SFT ได้รับประโยชน์จาก Economy of scale ลดลง ส่งผลต่อกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรก ทำได้ 62.98 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มองว่าปัจจัยด้านต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานได้ผ่านพ้นจุดสูงสุดแล้วและคาดว่าจะทยอยปรับตัวลดลงตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัทฯ ต่อไป
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานแห่งที่สองนั้น อยู่ระหว่างการนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องจักรผลิตสินค้ารองรับกับดีมานด์ความต้องการฉลากฟิล์มหดรัดรูปที่คาดว่าจะเติบโตในปีถัดไปหลังจากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของ SFT อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ที่มา: เอ็มที มัลติมีเดีย