รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผย ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 2 ปีบัญชี 65/66 (ก.ค.-ก.ย.65) บริษัทมีรายได้จากการขาย 3,250 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,980 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 31.4% และมีกำไรสุทธิรายไตรมาสที่ 385 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 413 ล้านบาท หรือ ลดลง 6.8% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 967 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 34.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสินค้าฉนวนยางที่มีคุณภาพสูง ซึ่งผ่านมาตรฐานการรับรองความปลอดภัย และจากการขยายตลาดไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และ Air Ducting system อีกทั้ง มีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการผลิตและการลงทุนเอกชนที่ยังขยายตัว ส่วนยอดขายในญี่ปุ่น และยุโรป ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยอดขายในประเทศทยอยฟื้นตัว ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด และการลงทุนภาคเอกชนทยอยฟื้นตัวตามลำดับ
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้กลุ่ม Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,655 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสามารถส่งสินค้าให้กับค่ายยานยนต์ที่เริ่มมีการผลิตต่อเนื่อง และจากยานยนต์รุ่นใหม่ที่จะทยอยออกสู่ตลาด ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อและความต้องการสินค้าหลัก เช่น พื้นปูกระบะ (Bed liner) บันไดข้างรถกระบะ (Sidesteps) และชิ้นส่วนอื่น ๆ ของรถกระบะและ SUV เพิ่มขึ้น อีกทั้ง กลุ่มผู้ผลิตยานยนต์หลายค่ายปรับตัวเพื่อแก้ไขปัญหาชิปขาดแคลน (Semiconductor Shortage) คาดว่าการเติบโตเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ อย่างไรก็ตาม ยอดขายในยุโรปยังชะลอตัว เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในยุโรปชะลอตัวลง สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียยอดขายชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการ 4 Way Suspension Products Pty. Ltd ออสเตรเลีย เป็นไตรมาสแรก
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 629 ล้านบาท หรือ ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยมีฝนตกยาวนานกว่าปกติ และเกิดน้ำท่วม ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการบริโภคภายในประเทศ EPP ปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเน้นกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายบรรจุภัณฑ์พลาสติก อย่างไรก็ตาม บรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหาร ยังคงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
บริษัทมีต้นทุนขายสินค้า เพิ่มขึ้น 7.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ บริษัทได้จัดหาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตในหลายประเทศเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยจากราคาวัตถุดิบมีราคาเหมาะสม สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 31.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น การปรับอัตราการจ้างพนักงานตามตลาดแรงงานในสหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย การจ้างพนักงานเพิ่มเติมเพื่อขยายร้านค้าสาขา TJM ออสเตรเลีย อีก 2 แห่ง รวมทั้ง รับรู้ค่าใช้จ่ายของ 4 Way Suspension Products Pty. Ltd ออสเตรเลีย เป็นต้น
บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 40 ล้านบาท ลดลง 6 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไร 46 ล้านบาท เป็นผลมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 77 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของกลุ่มฉนวนกันความร้อน/เย็น และ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 65 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 ก.ย. 65 ในอัตราหุ้นละ 0.11 บาท (สิบเอ็ดสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงิน ทั้งสิ้น 308 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 28 พ.ย.65 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ธ.ค.65
ที่มา: เวิร์คลิ้งค์ ดาเอเจนซี่