นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ "DOD" ผู้ดำเนินธุรกิจรับจ้างพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ODM) จากสารสกัดธรรมชาติ เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศฉบับที่ 439 พ.ศ. 2565 เรื่องผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารสกัดแคนนาบิไดออล เป็นส่วนประกอบ (ฉบับที่ 2) มีสาระสำคัญคือเพิ่มเติมรายละเอียดข้อกำหนดกรณีสารสกัด CBD ที่ผสมกับวัตถุอื่น เพื่อช่วยในกระบวนการผลิต หรือเพื่อปรับแต่งคุณสมบัติการละลายน้ำของสารสกัด CBD ให้เหมาะสมต่อการนำไปใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร และปรับแก้ไขข้อกำหนดรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและปริมาณสารสกัด CBD สูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เหมาะสมมากขึ้นนั้น ถือเป็นโอกาสในเปิดรับออเดอร์ในผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัด CBD เพิ่มมากขึ้น
โดยล่าสุดบริษัทฯอยู่ระหว่างการวิจัยและร่วมพัฒนาสูตร เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในรูปแบบ ซอฟเจล ชงดื่ม แคปซูล เยลลี่ ให้กับกลุ่มลูกค้าที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯและกลุ่มลูกค้าทั่วไปกว่า 30 ราย หรือประมาณ 30-40 SKU ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะทยอยสรุปดีลและทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มลูกค้าได้ ตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไป บริษัทจึงคาดว่าภายหลังจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนผสมจากสารสกัด CBD เริ่มมีการวางจำหน่ายจากกลุ่มลูกค้าแล้ว คาดว่าจะมียอดออเดอร์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเข้ามาเฉลี่ยที่ประมาณ 15 ล้านบาทต่อเดือน
ขณะที่บริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด" ("SH") บริษัทย่อยของ "DOD" ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงสกัดสารสกัดจากกัญชง-กัญชา พืชกระท่อม และพืชสมุนไพรไทย โดยมีทุนจดทะเบียน 260 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ "SH" ได้ใบอนุญาตในการผลิตยา ภายใต้มาตรฐาน GMP / Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme (PIC/S)ซึ่งเป็นมาตรฐานโรงงานผลิตยา ตามมาตรฐานสากล จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ CBD ทางการแพทย์ ภายใต้มาตรฐานPIC/S
ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นโรงสกัดที่มีความพร้อมด้านการผลิต ในทุกๆมิติ และที่สำคัญเป็นโรงสกัดที่ได้มาตรฐานสูง สามารถผลิตยาส่งออกต่างประเทศได้ตามมาตรฐานสากล และยังถือว่าเป็นโรงสกัดที่ได้มาตรฐานสากลเชิงพาณิชย์อย่างถูกกฎหมายเป็นรายแรกของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ปัจจุบัน "SH" ได้เริ่มดำเนินการสกัดสาร CBD เพื่อจำหน่ายให้กับหน่วยงานราชการทางการแพทย์ รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการบริษัทเอกชน เพื่อให้ลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวสามารถนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ นำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆในขั้นตอนต่อไป
นายธนิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "DOD" กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา "SH" ได้มีการเซ็นบันทึกข้อตกลงร่วมกับ กลุ่มบริษัทในเครือ อย่างบริษัท แปซิฟิค แคนโนเวชั่น จำกัด (Pacific Cannovation) ร่วมถึงโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี เพื่อร่วมกันวิจัย พัฒนา และผลิตยาจากสาร CBD (Cannabidiol) เพื่อการค้า โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับการดูแลผู้ป่วยต่อไป ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์นโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนให้กัญชง-กัญชา เป็นยารักษาในทางการแพทย์และสุขภาพ โดยโรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี จะเป็นผู้แนะแนวทางในการนำสาร CBD ไปพัฒนาเป็นเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการทางการแพทย์
สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแรกที่จะมีการผลิต ได้แก่ น้ำมันกัญชาชนิดหยด ใช้สำหรับผู้ป่วยลมชัก, ผู้ป่วยพาร์กินสัน, ผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับ และผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กินอาหารไม่ได้ เป็นต้น โดยบริษัทฯจะจำหน่ายให้กับลูกค้ากลุ่มโรงพยาบาลเป็นหลัก เนื่องจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจากับกลุ่มแพทย์ เพื่อดึงเข้าสู่ระบบ เก็บข้อมูลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯมีการศึกษาขยายตลาดไปในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดย "SH" คาดว่าจะทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าเพื่อจำหน่ายทางการแพทย์ได้ภายในสิ้นปีนี้
"SH" เป็นโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme (PIC/S) มาตรฐานการผลิตยาที่ดี จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง ในเดือนมกราคม 2566 นี้ "SH" จะได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.17025 (ISO/IEC 17025) ซึ่งเป็นข้อกำหนดทั่วไปว่าด้วยความสามารถห้องปฏิบัติการในการดำเนินการทดสอบตามหลักสูงสุดเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลให้ "SH" เป็นผู้ประกอบการธุรกิจสายเขียวรายใหญ่ที่ได้มาตรฐานสูงสุดในประเทศไทย"
นายธนิน กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับในปี 2566 "สยาม เฮอเบิล เทค"("SH") จะมีความโดดเด่นมาก เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการที่สามารถผลิตสกัดสารสกัดจากกัญชง-กัญชาได้ทุกประเภท ทั้ง CBD และ THC ประกอบกับโรงงานสกัดของเราได้รับมาตรฐานโรงงานยา ซึ่งเป็นรายใหญ่และรายเดียวในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานครบ โดยจะเห็นได้จากปัจจุบันมีออเดอร์เข้ามาจำนวนมาก ทั้งในกลุ่มผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้กระบวนการผลิตของ "DOD" และกลุ่มผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทางการแพทย์ ภายใต้กระบวนการผลิต "SH"
ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ออเดอร์จะเข้ามาอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส1/2566 เป็นต้นไป ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมผลของ "กลุ่มบริษัท DOD" ในปี2566 กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง และที่สำคัญจะผลักดัน "กลุ่มบริษัทDOD" ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจสายเขียวรายใหญ่ที่ครบวงจร และยังเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ CBD ทางการแพทย์ ภายใต้มาตรฐานPIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานโรงงานผลิตยา ตามมาตรฐานสากล จากสำนักงานอย.
ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์