นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ของ บริษัท โพลีเน็ต จำกัด (มหาชน) (POLY) เปิดเผยว่า ในช่วงจองซื้อหุ้น IPO ของ POLY ระหว่างวันที่ 9 - 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อเต็มจำนวนตั้งแต่วันแรก สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ
โดย POLY ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน ยาง พลาสติก และซิลิโคน ชั้นนำของประเทศไทย มีกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive) กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) ด้วยบริการอย่างครบวงจร ทำให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าซึ่งอยู่ในระดับ Global Brand รับเทรนด์สุขภาพและรักษ์โลก ขณะที่ วิสัยทัศน์ของผู้บริหารในการขยายธุรกิจ สนับสนุนผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และมั่นใจว่า POLY จะได้รับการตอบรับที่ดีในวันเข้าซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 หมวดธุรกิจ ยานยนต์ (AUTO)
ทั้งนี้ POLY กำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอ (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 6.80 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 15.0 เท่า
นางกาญจนา เหลารัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โพลีเน็ต จำกัด (มหาชน) (POLY) กล่าวว่า ขอขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพและการเติบโตของ POLY ทำให้การจองซื้อหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ และสามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยหลังจากนี้บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 785 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ 370 ล้านบาท ใช้สำหรับจ่ายคืนหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 320 ล้านบาท และใช้ลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม 95 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป
สำหรับการเติบโตในอนาคตของ POLY ตั้งเป้ารายได้จาก 3 ธุรกิจหลัก ในกลุ่มยานยนต์ กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน จากงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 มีสัดส่วนอยู่ที่ราว 52% 36% และ 12% ตามลำดับ โดยจะลดสัดส่วนรายได้จากกลุ่มยานยนต์ให้ต่ำกว่า 50% ภายในระยะเวลา 1-2 ปี โดยไม่ลดปริมาณรายได้จากการขาย ขณะที่อีก 2 กลุ่มธุรกิจ POLY มุ่งเน้นการขยายตลาด และขยายฐานลูกค้า เพื่อสนับสนุนคำสั่งซื้อที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ เตรียมพร้อมสำหรับขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้วัตถุดิบยางและซิลิโคน ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เช่น กลุ่มไฟฟ้า และพลังงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2564 POLY สามารถบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) รายได้รวมอยู่ที่ 787.1 ล้านบาท เติบโต 50.4% กำไรสุทธิ 120.9 ล้านบาท เติบโต 454.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของรายได้จากทุกกลุ่มธุรกิจ และความสำเร็จในการขยายตลาดไปยังลูกค้าในกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ งวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ทำรายได้รวม 526.9 ล้านบาท เติบโต 50.0% กำไรสุทธิ 78.5 ล้านบาท เติบโต 57.9% มองแนวโน้มผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน อยู่ในทิศทางที่ดี สนับสนุนปี 2565 เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
ที่มา: ไออาร์ พลัส