ฟิทช์คงอันดับเครดิต ของ GPSC ที่ 'BBB-' และ 'A+(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

พฤหัส ๐๑ ธันวาคม ๒๐๒๒ ๑๓:๓๔
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตสากลระยะยาว สกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating) ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่ 'BBB-' และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ 'A+(tha)' แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกันฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของ GPSC ที่ 'A+(tha)'

อันดับเครดิตของ GPSC สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของประเทศ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของกำลังผลิตทั้งหมดของประเทศไทย และกระจายตัวของสินทรัพย์ของบริษัทในต่างประเทศ โดยสินทรัพย์ดังกล่าวทำให้ บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ จากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวกับคู่ค้าที่มีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่ง ฟิทช์คาดว่ากำไรของบริษัทในปี 2565 จะอ่อนแอลงจาก ความผันผวนของค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง และความล่าช้าในการปรับราคาขายไฟฟ้าในธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก แต่คาดว่าจะเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น และกำไรของบริษัทน่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2566 และอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท

อันดับเครดิตของ GPSC ได้รวมการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพัง (Standalone Credit Profile) ที่ 'bb'/'a-(tha)' ซึ่งสะท้อนถึงแรงจูงใจของบริษัทแม่ ซึ่งได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิต 'BBB+'/ 'AAA(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ในการให้การสนับสนุน ต่อ GPSC ในระดับปานกลาง ฟิทช์คาดว่า GPSC จะมีบทบาทสำคัญในแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของกลุ่ม ปตท.

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

คุณภาพรายได้ที่ดี: GPSC มีรายได้ที่มั่นคง จากการที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าของประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล โดยร้อยละ 43 ของรายได้ของบริษัทในปี 2564 มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ในลักษณะ take-or-pay กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (อันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ 'BBB+' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) และอีกประมาณร้อยละ 31 มาจากกลุ่ม ปตท. ซึ่งช่วยสนับสนุนให้มีความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าที่สม่ำเสมอ ถึงแม้ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า อีกทั้งบริษัทยังมีสินทรัพย์ที่กระจายตัว ที่ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการและให้บริการได้ ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องของโรงไฟฟ้า ส่วนสินทรัพย์ในต่างประเทศของบริษัทส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นบริษัทร่วมก็ได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายระยะยาวเช่นเดียวกัน

ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันอัตราส่วนกำไรต่อรายได้ในปี 2565: ฟิทช์คาดว่า บริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2565 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาท จากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูง เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวขึ้นมากกว่า 450 บาทต่อล้านบีทียู (mmbtu) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 จากราคาเฉลี่ยในช่วงปี 2564 ที่ประมาณ 260 บาทต่อล้านบีทียู ทั้งนี้ EBITDA ยังได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายไฟฟ้าที่ล่าช้า ในธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ซึ่งค่าไฟฟ้าได้มีการทะยอยปรับขึ้นจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานในช่วงปี 2565 แต่ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นมากได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานมีแผนจะปรับราคาขายไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2566 ตามที่ได้เปิดรับฟังความเห็นในการปรับราคาขายไฟฟ้าเมื่อช่วงเดือน พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะปรับราคาค่าไฟฟ้าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5-6 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง จากปัจจุบันที่ 4.7 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของสัดส่วนกำไรของบริษัทในปี 2566

ฟิทช์ประมาณการว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.7-1.9 หมื่นล้านต่อปี ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จากการปรับตัวลดลงของต้นทุนเชื้อเพลิง ตามสมมุติฐานราคาก๊าซธรรมชาติของฟิทช์และราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ปรับตัวลดลงจากสัญญาแบ่งปันผลผลิตก๊าซธรรมชาติในบางแหล่งผลิต

ความเสี่ยงด้านราคา: กำไรจากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมของ GPSC รวมถึงบริษัทลูกในกลุ่ม ปตท.นั้นอาจได้รับผลกระทบจากการปรับราคาขายไฟฟ้าอยู่บ้าง แม้ว่าสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าจะใช้ราคาเชื้อเพลิงเข้ามาร่วมประกอบการพิจารณา แต่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะกำกับและรักษาค่าไฟฟ้าในประเทศให้มีเสถียรภาพ ซึ่งจะเห็นจากในอดีต บางช่วงเวลา ราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น มิได้รับการส่งผ่านอย่างเต็มที่ในการปรับค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ตามผู้ผลิตไฟฟ้าจะได้รับการชดเชย ในช่วงที่ราคาเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง

สัดส่วนหนี้สินที่ดีขึ้น: อัตราส่วนกำไรต่อรายได้ที่ลดลง จะทำให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 10 เท่าในปี 2565 จาก 5.1 เท่าในปี 2564 อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้สินดังกล่าวจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6.2 เท่าในปี 2566 จากการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัท ถึงแม้ว่าความสามารถในการรองรับหนี้สินเพิ่มเติมโดยไม่กระทบอันดับเครดิตจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ จนถึงปี 2568 จากแผนการลงทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับสูง

ค่าใช้จ่ายและแผนการลงทุนที่สูง: ฟิทช์คาดว่า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนยังคงอยู่ในระดับที่สูง จากการค่าใช้จ่ายในด้านการเชื่อมโครงข่ายโรงไฟฟ้าของ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) และค่าใช้จ่ายในก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้า SPP ของ GLOW ที่จะหมดอายุลง และการลงทุนในโครงการ Energy Recovery Unit ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP; อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'A+(tha)' แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ฟิทช์ประมาณการว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่ระดับ 2 หมื่นล้านบาท ในช่วงสี่ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดเพิ่มเติมจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จะช่วยรักษาสัดส่วนหนี้สินของบริษัทให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับที่อาจมีผลกระทบในแง่ลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท

การกระจายตัวของสินทรัพย์ที่ดี: ฟิทช์คาดว่า บริษัทได้รับประโยชน์จากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และสัดส่วนประเภทของเชื้อเพลิงที่มีความหลากหลายขึ้น โดยบริษัทวางแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม มาอยู่ที่ระดับ 7.2 GW ภายในปี 2568 จากระดับ 6.3 GW ในปี 2565 และ 4.7 GW ในปี 2564 ทั้งนี้สัดส่วนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติจะปรับตัวลดลงเป็นร้อยละ 53 จากร้อยละ 72 ในปี 2564 ขณะที่สัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังานหมุนเวียนของบริษัทเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 34 (ปี 2564: ร้อยละ 11) จากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศอินเดีย และโรงไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศไต้หวันที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สถานะทางธุรกิจที่ดีขึ้นจะถูกลดทอนจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจาก การที่ผู้รับซื้อไฟฟ้าของโครงการในประเทศอินเดีย มีสถานะทางการเงินอ่อนแอกว่าผู้รับซื้อไฟฟ้าในประเทศไทย และคุณภาพของกระแสเงินสดที่มีลักษณะด้อยสิทธิ จากการเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในโครงการดังกล่าว

ความสัมพันธ์กับปตท.ที่ระดับปานกลาง: ฟิทช์มองว่า GPSC เป็นบริษัทหลักในธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่มปตท. ซึ่งสนับสนุนแผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของกลุ่มฯ ในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า โดยแผนธุรกิจของบริษัทสอดคล้องกับแผนของกลุ่ม ปตท. ที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 12 GW ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นปัจจัยเหล่านี้ทำให้ฟิทช์พิจารณาว่า แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ GPSC ในด้านกลยุทธ์ (Strategic incentive) อยู่ที่ระดับปานกลาง ทั้งนี้การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก(Parent and Subsidiary Linkage) ยังสะท้อนถึง ความสามารถในควบคุมของปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่และมีกลุ่มผู้บริหารร่วมกัน รวมถึงประวัติการสนับสนุนด้านการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยปตท.ได้สนับสนุนเงินกู้ยืมให้กับ GPSC ในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศอินเดียและไต้หวัน

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
GPSC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า PetroVietnam Power Corporation - Joint Stock Company (PV Power; อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ 'BB' แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อันดับที่สองในประเทศเวียดนาม และมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่ร้อยละ 11 ของกำลังผลิตในเชิงพาณิชย์ทั้งหมด อันดับเครดิตของ PV Power อยู่ในระดับเดียวกับ Vietnam Electricity (EVN; อันดับเครดิตที่ 'BB' แนวโน้มเครดิตเป็นบวก) ที่เป็นผู้รับซื้อกระแสไฟฟ้าหลักของ PV Power ซึ่งทำให้สถานะเครดิตโดยลำพังของ PV Power ที่ 'bb' ถูกจำกัดด้วยอันดับเครดิตของ EVN ทั้งนี้ PV Power มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่า GPSC โดยมี EBITDA net leverage ต่ำกว่า 4.5 เท่า อย่างไรก็ตาม GPSC มีความสม่ำเสมอของรายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีกว่าจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับคู่ค้าที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ดังนั้น บริษัททั้งสองจึงมีสถานะเครดิตโดยลำพังที่เท่ากัน

สถานะเครดิตโดยลำพังของ NTPC Limited (อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ 'BBB-' แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในประเทศอินเดีย และมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่ร้อยละ 20 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ ที่ 'bbb-' อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตสากลระยะยาวของบริษัทฯ สถานะเครดิตโดยลำพังของ NTPC อยู่ในระดับสูงกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ GPSC สองอันดับ สะท้อนถึง กำไรจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ซึ่งมีการส่งผ่านการเปลี่ยนแปลงต้นทุนอย่างเต็มที่ของ NTPC ถึงแม้ว่าบริษัททั้งสองมีฐานะการเงินที่ใกล้เคียงกัน

บริษัทมีรายได้และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ใกล้เคียงกับ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'BBB+(tha)' แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานในสนามบินหลักของประเทศไทย และ บริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด หรือ NNEG (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'A-(tha)' แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทย

โดย GPSCและ NNEG ต่างมีรายได้ที่สม่ำเสมอ จากการแข่งขันทางธุรกิจที่ต่ำ และได้รับประโยชน์จากสัญญาซื้อขายระยะยาว ทั้งนี้ GPSC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่า BAFS เนื่องจาก GPSC มีการกระจายตัวของทรัพย์สินที่มากกว่า และมีรายได้และกำไรที่สูงกว่า นอกจากนี้ BAFS ยังได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมการบินที่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส ทำให้รายได้อ่อนแอ่ลง และมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูง ดังนั้น อันดับเครดิตโดยลำพังของ GPSC อยู่ในระดับที่สูงกว่าอันดับเครดิตของ BAFS อยู่หนึ่งอันดับ

ฟิทช์คาดว่า GPSC จะมีอัตราส่วนหนี้สินในระดับที่สูงกว่า NNEG ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยมี EBITDA net leverage สูงกว่า 5.2 เท่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูง ดั้งนั้นอันดับเครดิตโดยลำพังของ GPSC อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตของ NNEG ถึงแม้ GPSC มีสถานะทางธุรกิจที่ดีกว่า เนื่องจากมีการกระจายตัวของทรัพย์สินที่สูงกว่า และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูงกว่า NNEG อย่างมีนัยสำคัญ

สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:

  • รายได้รวมอยู่ที่ระดับ 6.8-11.8 หมื่นล้านบาทในปี 2565-2568 (ปี 2564 อยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท)
  • EBITDA Margin อยู่ที่ระดับร้อยละ 9 ในปี 2565 และฟื้นตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 16-27 ในช่วงปี 2566-2568(ปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 24)
  • ค่าใช้จ่ายในการลงทุนประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศไต้หวัน โรงไฟฟ้าประเภท SPP และ โครงการ Energy Recovery Unit
  • จ่ายเงินปันผลร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:

  • ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท กับ ปตท. ที่เพิ่มสูงขึ้น
  • การเพิ่มอันดับเครดิตโดยลำพังของบริษัท ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสองถึงสามปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง หลังจากมีการเข้าซื้อกิจการที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามฟิทช์อาจพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิตโดยลำพังของ GPSC หากอัตราส่วน EBITDA net leverage ลดลงต่ำกว่า 5.2 เท่าอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยลบ:

  • อัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงช้ากว่าที่ฟิทช์คาด เนื่องจากเงินลงทุนที่สูงกว่าที่คาด หรือกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่ำกว่าที่คาด ซึ่งส่งผลให้ EBITDA net leverage ของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 6.2 เท่า อย่างต่อเนื่อง
  • สถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอลงจากการลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงด้านการดำเนินงานสูง
  • ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท กับ ปตท. ที่ลดลง
  • อันดับเครดิตของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอาจถูกปรับลดจากอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัท หากอัตราส่วน prior-ranking debt to EBITDA เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง (ณ สิ้นปี 2564 เท่ากับ 1.5 เท่า)

สภาพคล่อง
สภาพคล่องอยู่ในระดับบริหารจัดการได้: สภาพคล่องของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากเงินสดหรือเทียบเท่า จำนวน 1.61 หมื่นล้านบาท ณ เดือนกันยายน ปี 2565 บริษัทมีหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า จากเดือน กันยายน 2565 จำนวน 1.38 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะยาว ทั้งนี้บริษัทยังได้รับเงินกู้ยืมระยะยาวและออกหุ้นกู้เพิ่มเติม จำนวนรวม 2.71 หมื่นล้านในเดือนกันยายน 2565 เพื่อเสริมสภาพคล่องของบริษัท

ข้อมูลของบริษัท
GSPC เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำใช้เพื่ออุตสาหกรรม ให้แก่ลูกค้าภาคอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. และขายไฟฟ้าให้กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย GPSC มีโรงไฟฟ้าในประเทศไทย อินเดีย ไต้หวัน และลาว โดย ณ เดือน กันยายน 2565 GPSC มีกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำได้ รวมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 6,357 MW และ 2,948 ตันต่อชั่วโมง ตามลำดับ

สรุปรายการปรับปรุงงบการเงินที่สำคัญ
ฟิทช์ได้ปรับงบการเงินรวมของ GPSC โดยใช้วิธี Proportionate Consolidation ในส่วนของ รายได้, กระแสเงินสด, เงินสด และหนี้ของ IRPC-CP ตามสัดส่วนการถือหุ้น IRPC-CP ของจำนวน 51% โดย GPSC ฟิทช์มองว่า GPSC ไม่สามารถเข้าถึงกระแสเงินสดของ IRPC-CP อย่างเต็มที่ และมีความรับผิดชอบที่จากัดสาหรับหนี้ของ IRPC-CP ตามสัดส่วนการถือหุ้นและเงื่อนไขตามสัญญาเงินกู้ของ IRPC-CP

ที่มา: ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗ ม.ค. วว. ร่วมกับพันธมิตรเปิดศูนย์การเรียนรู้วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตไม้ดอกไม้ประดับ ต.เหมืองแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
๑๗ ม.ค. กระแสดีเกินคาด! WOW Festival 2025 ปรากฏการณ์ใหม่ ปลุกพลังคน เติมเต็มพลังเมือง พร้อมขนเซอร์ไพรส์รอทุกคนถึง 19 ม.ค.
๑๗ ม.ค. นั่งชิลๆ จิบน้ำชายามบ่ายพร้อมขนมเลิศรส ณ ที แอนด์ ทิปเปิ้ล ชั้น 23
๑๗ ม.ค. CPW จัดโปรเด็ด!! ช้อปสินค้าไอทีลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท
๑๗ ม.ค. LDC เดินหน้าปี 2568 บุกตลาดภาคใต้ เตรียมเปิด 3 สาขาใหม่ ย้ำมาตรฐานศูนย์ทันตกรรม โมเดลโรงพยาบาลขนาดเล็ก
๑๗ ม.ค. เชอร์วู้ดฯ ร่วมกับ มูลนิธิคุณแม่ลี้กิมเกียวฯ แจกนมฮอกไกโด ถั่วมารูโจ้ ส่งความสุข ฉลองวันเด็กแห่งชาติ 2568
๑๗ ม.ค. ขายบัตรแล้ว! นิตยสารแพรว พร้อมเสิร์ฟความน่ารักของ เก่ง น้ำปิง ในงาน Praew Meet Read Into The Wild with Keng
๑๗ ม.ค. ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ สุขสมหวัง ร่ำรวย เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับอาหารจีนเลิศรส ณ ห้องอาหารจีนแทพเพสทรี ใน 3 โรงแรมชั้นนำเครือเคป แอนด์
๑๗ ม.ค. เตรียมจองซื้อ หุ้นกู้ดิจิทัลบางจาก อายุ 4 ปี ดอกเบี้ย 3.15% บนแอปฯ เป๋าตัง ครั้งแรกกับการให้สิทธิ์ผู้ถือหุ้นกู้ดิจิทัลบางจากจองซื้อก่อน ดีเดย์ 7-13 ก.พ. 68
๑๗ ม.ค. วิลล่า เทวา รีสอร์ท โฮเทล กรุงเทพฯ ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม: ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 5 จาก 1,257 โรงแรมในกรุงเทพฯ บนเว็บไซต์