นางสาววิภาภรณ์ เนียมละออง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS เปิดเผยในงาน Opportunity Day สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2565 ยอดขายโต 49.3% จากปีก่อน และเติบโต 22.4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายดีขึ้นและการฟื้นตัวของตลาดในภาพรวม โดยการเติบโตดังกล่าวนำโดยสินค้ากลุ่มสกินแคร์ที่เติบโตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแบรนด์หลัก ได้แก่ Rojukiss รวมถึงกลุ่มเมคอัพที่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนจากการที่ภาครัฐประกาศยกเลิกมาตรการสวมหน้ากากอนามัย โดยบริษัทปรับกลยุทธ์การทำการตลาดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเพื่อตอบรับการเปิดประเทศและพฤติกรรมผู้บริโภคที่กลับมาใช้ชีวิตเกือบปกติก่อนสถานการณ์ COVID-19 แล้ว ทั้งนี้ บริษัทเน้นการประชาสัมพันธ์แบรนด์และสินค้าต่างๆ ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก นอกจากนี้ ในไตรมาสนี้ บริษัทมีการออกสินค้าใหม่ (NPDs) ทั้งสิ้น 21 SKUs จากเป้าหมายครึ่งปีหลังจะมีสินค้าใหม่ทั้งหมดกว่า 35-40 SKUs โดยบริษัทคาดการณ์ภาพรวมรายได้ในไตรมาส 4/2565 จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากสินค้าใหม่และแผนการตลาดที่มีซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมตลาดความงามที่มีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายให้แบรนด์ Rojukiss เป็นแบรนด์สินค้าอันดับต้นๆ ในใจผู้บริโภค (Top of Mind Brand) โดยปีหน้าจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมและคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ เน้นสินค้าที่ใช้แล้วเห็นผลได้ชัดเจน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังวางแผนการลงทุนในการทำการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์และโปรโมทสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นด้วย ส่วนกลุ่มสินค้า Sis2Sis นั้นจะมีการขยาย Portfolio ให้มีสินค้าที่หลายหลายมากขึ้น และพัฒนาการเติบโตในช่องทางอื่นๆ นอกเหนือจากช่องทาง CVS เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Healthcare) นำโดยสเปรย์พ่นจมูก "VAILL COVITRAPTM Anti-CoV Nasal Spray" จากเทคโนโลยี Human Monoclonal Antibody ที่เป็นนวัตกรรมแรกของไทยและของโลก สำหรับดักจับและยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางกายภาพ หลังจากที่ได้มีการเปิดตัวและได้กระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ไปแล้วนั้น บริษัทได้รุกขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นในปีหน้าด้วย
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ บริษัทยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของยอดขายอีกมาก ทั้งการส่งออกไปยังอินโดนีเซีย เวียดนาม และการขาย Cross Border ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการหาโอกาสการเติบโตในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเน้นจุดแข็งในการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อพัฒนาสินค้าให้เหมาะสม และทำการตลาดให้ผู้บริโภครู้จักแบรนด์และสินค้าเพื่อการเติบโตในระยะยาวอีกด้วย
ที่มา: เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น